สัมมาชีพ จัดเวทีลงพื้นที่ร่วมภาคีเครือข่าย 3 จังหวัด บุรีรัมย์-ขอนแก่น-อุดรธานี
เดินหน้าเคลื่อน MOU วิสาหกิจปลูกอ้อยชุมชน คาดเริ่มงานจริงเมษายนนี้
เมื่อ 30 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา มูลนิธิสัมมาชีพได้จัดงานครบรอบ 10 ปี ภายใต้แนวคิด “สานพลังขับเคลื่อนเต็มพื้นที่สู่สังคมเศรษฐกิจฐานรากที่ยั่งยืน” ซึ่งภายในงานมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “สานพลังขับเคลื่อน วิสาหกิจผู้ปลูกอ้อยชุมชน สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมสนับสนุนวิสาหกิจ ผู้ปลูกอ้อยชุมชน ให้เข้าถึงนวัตกรรม แหล่งทุนและบริหารจัดการการเพาะปลูกได้อย่างยั่งยืน โดยมีภาคีเครือข่าย เข้าร่วมทั้งหมด 6 องค์กร ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA), กลุ่มมิตรผล, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส) รวมถึงคณะทำงานจากสำนักงานสาขาจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเลย จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดเลยและจังหวัดอุดรธานี, บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด
การดำเนินงานได้เริ่มเปิดเวทีหลังจากการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือจัดขึ้นเมื่อวันที่ 11 – 13 กุมภาพันธ์ 2563 โดยเปิดเวทีแรกที่ บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) จังหวัดบุรีรัมย์, โรงงานน้ำตาลมิตรภูเวียง อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น และบริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด จังหวัดอุดรธานี ตามลำดับ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันถึงบทบาทหน้าที่ของแต่ละองค์กร รวมถึงจัดทำเวทีเพื่อนขับเคลื่อนแผนงานพัฒนากลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกอ้อย ซึ่งมูลนิธิสัมมาชีพถือเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดเวทีและประสานองค์กรที่เกี่ยวข้องโดยมีคุณผดุงศักดิ์ พื้นแสน รักษาการผู้อำนวยการ และคุณเบญจมาศ เมตไตร รักษาการผู้จัดการศูนย์ตั้งหลัก คุณจิราวดี อยู่สบาย เจ้าหน้าที่ศูนย์ตั้งหลัก ผู้รับผิดชอบการขับเคลื่อนแผนงานเป็นผู้ดำเนินงาน
โดยบทบาทหลักของบริษัทซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาล จะเป็นผู้ร่วมกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการทำงานและสนับสนันการกระจายโควตาอ้อยให้กับกลุ่มวิสาหกิจ ซึ่งคุณจิรวรรณ พงษ์พิชิตกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) และคุณสมพร โศภิษฐ์โฆษิต รองผู้จัดการฝ่ายฯ จาก บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด รวมถึงผู้อำนวยการด้านอ้อย กลุ่มมิตรผลจาก ทั้ง 3 จังหวัด จังหวัดขอนแก่น จังหวัดกาฬสินธุ์ และ จังหวัดเลย ได้เข้าร่วมเวทีและแสดงความคิดเห็นและข้อมูลอันเป็นประโยชน์ในแง่มุมของผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาล
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยคุณศรายุทธ ธรเสนา ผู้ช่วยผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และคณะทำงานจากสาขาจังหวัด ได้ชี้แจงนโยบาย สินเชื่อ “ธุรกิจชุมชนสร้างไทย” ที่มุ่งเน้นทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ที่สามารถช่วยเหลือในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ที่เน้นให้มากกว่าการให้สินเชื่อ และได้แสดงความคิดเห็นและให้แนวทางในการขับเคลื่อนงาน ที่ใช้ตลาดนำการผลิต ทำให้โอกาสของเกษตรกรในปัจจุบันจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้ามาเพื่อช่วยในการเพาะปลูก รวมถึงมีแผนการขยายผลการดำเนินงานในระดับชุมชนอื่นๆ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านการสร้างผลิตผลิตอ้อยและน้ำตาล
ซึ่งในเวทีจังหวัดอุดรธานี คุณณัฐฐาพร ตาราช ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า (สกต.) จังหวัดอุดรธานี ได้เล่าถึงแผนการดำเนินงานและแนวคิดในการปลูกอ้อย ซึ่งส่วนใหญ่มักประสบปัญหาด้านแรงงาน การขนส่งและหนี้สิน รวมถึงเงินทุนซึ่งทางสกต, มีบทบาทที่จะช่วยเหลือและดูแลเรื่องการตลาดให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย และมีแนวทางในการพัฒนาด้วยการทำโครงการให้ความรู้และการช่วยเหลือในการเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งในอนาคตมีการวางแผนการสร้างแปลงสาธิตที่เน้นการพัฒนาระบบน้ำ ซึ่งเป็นการทำงานที่สามารถเชื่อมโยงกับทางนโยบายของทางธนาคารการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้ รวมถึงทางโรงงานน้ำตาลไทยอุดรธานี ยังมีส่วนช่วยหนุนเสริมเรื่องการเพิ่มราคารับซื้ออ้อยสดตันละ 50 บาท และบริการขนส่งอ้อยจากลานชุมชนสู่โรงงาน
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) โดยคุณบุญทวี ดวงนิกร นักส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ได้นำเสนอโครงการหนุนเสริมด้านเทคโนโลยีเพื่อใช้ทางการเกษตร
สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย โดยคุณชาติขาย โชติสันต์ หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมด้านอ้อย ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายภาค 4 ได้ทำการชี้แจงนโยบายหนุนเสริมผู้ปลูกอ้อยทางด้านองค์ความรู้และการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกอ้อยและด้านเทคโนโลยีในการเพาะปลูก
นอกจากนี้ในเวทีการวางแผนงาน ในจังหวัดขอนแก่น และจังหวัดอุดรธานี คุณอิทธิพล ขึมภูเขียว อาจารย์จากมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ได้เข้าร่วมเวทีและนำเสนอเรื่องคลินิกวิทยาศาสตร์ที่รวบรวมองค์ความรู้เพื่อถ่ายทอดให้แก่กลุ่มเกษตร ที่ต้องการองค์ความรู้เพื่อไปพัฒนาการทำการเกษตรได้
แม้ว่าการจัดเวทีทั้ง 3 จังหวัด จะมีเป้าหมายเดียวกันเพื่อเชื่อมโยงองค์กรภาคีเครือข่าย เพื่อพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย แต่ความแตกต่างของทั้ง 3 พื้นที่ ซึ่งมีความแตกต่างกันในรูปแบบการดำเนินการ โดยพื้นที่ในจังหวัดบุรีรัมย์ เน้นเรื่องการรวมกลุ่มเพื่อจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน จังหวัดขอนแก่น เน้นการพัฒนาเพื่อการจัดการฟาร์มให้ทันสมัย (Modern Farm) จังหวัดอุดรธานี เน้นการรวมกลุ่มเกษตรผ่านองค์กร
จึงทำให้การวางแผนการดำเนินงานที่มีภาพใหญ่อันมีวัตถุประสงค์เดียวกัน แต่ในรายละเอียดปลีกย่อย ที่มีปัจจัยด้านความพร้อมและความเข้มแข็งของกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงสภาพแวดล้อมในการเพาะปลูก แตกต่างกันทำให้ในการปรับแผนงานจะต้องทำให้มีความสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายทั้ง 3 พื้นที่หลักด้วย
อย่างไรก็ตาม การจัดเวทีในครั้งนี้ บทบาทหลักของมูลนิธิสัมมาชีพ ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการบันทึกการลงนามข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อพัฒนาวิสาหกิจผู้ปลูกอ้อยนั้น มีบทบาทหลักในการประสานงานข้ามภาคส่วน และสร้างความเป็นไปได้ในหนุนเสริมการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจร่วมกับภาคีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่วนงานในการพัฒนาชุมชนฐานรากที่มุ่งสร้างนักขับเคลื่อนชุมชนต่อไป
จากการลงพื้นที่จัดเวทีทั้ง 3 จังหวัดที่ผ่านมา ทำให้ได้ข้อเสนอแนวทางการดำเนินงานไว้ด้วยกัน 6 ประการ ดังนี้
- การวางหลักสูตรและวิทยากร 2 ระดับ คือ หลักสูตร สำหรับเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ และหลักสูตรสำหรับผู้นำชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ
- การปลูกพืชเสริมหลังฤดูหีบอ้อย รวมถึงอาชีพเสริมอื่นๆ
- การใช้เทคโนโลยีในขั้นตอนการผลิตต่างๆ ซึ่งขึ้นกับความสอดคล้องกับสภาพการผลิตของชุมชน (base case) โดยเอาความต้องการของชุมชนตัวตั้ง
- การจัดการการผลิตต้นน้ำ ตั้งแต่การเตรียมแปลง การจัดหาแหล่งน้ำ การเข้าใจอ้อย ฯลฯ
- การจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกอ้อย ครอบคลุมทั้ง 32 ชุมชนเป้าหมาย
- สร้างนักขับเคลื่อนชุมชนร่วมกันเพื่อเป็นผู้ผลักดันกิจกรรมของชุมชนให้เป็นกิจการเป็นผู้ร่วมลงมือสร้างผู้ประกอบการชุมชน และเป็นที่ปรึกษาให้กับชุมชน
นอกจากนี้ ในที่ประชุมดังกล่าว คุณศรายุทธ ธรเสนา ผู้ช่วยผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ได้เสนอให้ผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่มการผลิตของวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกอ้อย ให้เป็นแบบแปลงใหญ่ ขนาด 2,000 ไร่ ซึ่งเท่ากับจำนวนการผลิต 20,000 ตัน ซึ่งจะได้สิทธิ์เป็นเจ้าของโควตาส่งอ้อยเข้าโรงงาน จะทำให้ผู้ปลูกเป็นเจ้าของผลผลิตอย่างแท้จริง เข้าถึงสิทธิ์ผลประโชยน์ต่างๆ ที่ควรจะได้รับ และสามารถใช้เทคโนโลยีในการผลิตได้สูง ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตและการจัดการได้ อย่างไรก็ตามหลังจากการจัดเวทีดังกล่าว จะมีการนำผลการประชุมหารือจากทุกพื้นที่เพื่อนำมาปรับปรุงแผนงานในการดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายขององค์กรภาคี และคาดว่าจะได้เริ่มดำเนินการอย่างต่อเนื่องในเดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป
ไม่มีภาพกิจกรรม
ไม่มีวิดีโอ