“เชียงใหม่ไบโอเวกกี้” ผักไฮเทค รักษ์สุขภาพ-ดูแลท้องถิ่น
จากความโดดเด่นด้าน “นวัตกรรมอาหาร” ที่สามารถรักษาคุณค่าสารอาหารได้สูง ทำให้บริษัท เชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ได้รับรางวัล “เอสเอ็มอีต้นแบบสัมมาชีพ” ในปี 2567 จากมูลนิธิสัมมาชีพ นอกจากนี้ การใช้วัตถุดิบจากโครงการหลวงเป็นหลักยังทำให้บริษัทมีส่วนสำคัญในการร่วมดูแลชุมชน
จุดเริ่มต้นธุรกิจของไบโอเวกกี้ “วิริยา พรทวีวัฒน์” กรรมการผู้จัดการบริษัท บริษัทเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ จำกัด เล่าว่า เกิดจากการเห็นว่าหากพืชผักจำหน่ายไม่หมด จะถูกนำไปทำเป็นปุ๋ย เป็นอาหารสัตว์ ทั้งๆ ที่ผักเหล่านั้นยังมีคุณภาพดี ทางทีมผู้บริหารของบริษัทซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการแปรรูปพืชผลทางการเกษตรด้วยวิธีอบแห้งโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง จึงมีความคิดที่จะนำผักเหล่านี้มาอบแห้งเป็นผักอัดเม็ด รักษาสารอาหารให้ใกล้เคียงเดิมเพื่อส่งต่อไปปลายน้ำ คือ ผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าปลอดภัย มีคุณภาพสูง
ขณะเดียวกัน ก็ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ด้วย
วิริยายังขยายความว่า การแปรรูปพืชผลทางการเกษตรด้วยวิธีอบแห้ง นับเป็นการ “สร้างมูลค่าเพิ่ม” ให้กับสินค้าเกษตร โดยใช้ “นวัตกรรมนำร่อง” ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ไปพร้อมกับการมีเกษตรกรเป็นแนวร่วม โดยบริษัทรับซื้อผักต่างๆ จากโครงการหลวงเป็นหลักถือเป็นการสนับสนุนเกษตรกรชาวเขา
“นวัตกรรมคือความแปลกใหม่ และต้องใช้ได้จริง จำหน่ายได้จริงในเชิงธุรกิจ บริษัทเริ่มต้นคิดค้นนวัตกรรมโดยสามีซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่รักเรื่องเทคโนโลยีเป็นทุนเดิม มีทีมวิศวกรที่ทำงานร่วมกัน เรามองว่าทำอย่างไรจึงจะนำเครื่องจักรมาพัฒนาภาคเกษตรของไทยได้ เริ่มจากทำเครื่องจักรโมเดลเล็กๆ ที่บ้าน พัฒนาระบบการทำงานของเครื่องจักรเกือบ 5 ปี กว่าจะประสบความสำเร็จ ทำเชิงพาณิชย์ได้”
ธุรกิจเริ่มต้นจากการใช้มะลอกอสไลด์เป็นวัตถุดิบในการทดลอง ด้วยการอบแห้งให้มีความชื้นต่ำ ไม่ใช้วัตถุกันเสียจนสามารถเก็บได้นาน 2 ปี โดยเส้นมะละกอนำมารีฟอร์มให้สดใหม่ได้ เรียกว่าเป็นส้มตำอบแห้งเจ้าแรกของไทย
“แต่ตอนนั้นเราต่อยอดไม่ได้ เพราะไม่มีช่องทางการตลาด สินค้าดีอย่างไรถ้าการตลาดไม่ได้ ก็ไปต่อไม่ได้ ส่วนตอนนี้เรามีการผลิตและการตลาดที่ค่อนข้างแข็งแรงแล้ว” หญิงแกร่งแห่งเชียงใหม่ไบโอเวกกี้ เล่า
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ผักอัดเม็ดของบริษัทไบโอเวกกี้เน้นจำหน่ายผ่านร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ร้านขายยา นอกเหนือจากโมเดิร์นเทรดทั้งหลายและทำตลาดออนไลน์ผ่านตัวแทนจำหน่าย
เธอยังบอกด้วยว่า จากความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรม ทำให้บริษัทเป็นผู้ผลิตผักอัดเม็ดเป็นรายแรกของโลกที่ใช้ผักแท้ๆ 12 ชนิด มาจากธรรมชาติ 100% ยังคงรักษาคุณค่าสารอาหาร ไม่ใส่สารสังเคราะห์ ไม่ใส่วัตถุกันเสีย ไม่มีสารเคมี มีการควบคุมการผลิตตามมาตรฐาน GMP (การผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์ที่ดี) และมาตรฐาน HACCP (การรับรองระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤติที่ต้องควบคุมในการผลิตอาหาร)
“เราทำได้เพราะเราให้ความสำคัญกับนวัตกรรม โดยจับกลุ่มคนรักสุขภาพ คนที่ทานผักไม่ได้แต่ต้องการสารอาหารจากผัก เราจึงขอเป็นทางเลือกในการรับประทานผัก เพียงฉีกซอง กลืนผักอัดเม็ดพร้อมน้ำ ก็จะได้วิตามินและไฟเบอร์จากธรรมชาติเต็มๆ ทานได้ทั้งครอบครัวไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ หรือเด็ก เพื่อรับสารอาหารจากผักให้เพียงพอ ทำให้ภูมิต้านทานสูงขึ้น ไม่เจ็บป่วยง่าย”
ไม่เพียงการผลิตและจำหน่ายผักอัดเม็ด เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมาบริษัทแห่งนี้ยังนำมะนาวพันธุ์ตาฮิติ มาผลิตเป็น “น้ำมะนาวแช่แข็ง” โดยใช้นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มายกระดับการผลิตให้สามารถทดแทนมะนาวผลสด สามารถเก็บได้นาน 3 เดือนหลังละลายด้วยความเย็น ซึ่งได้รับการตอบรับดีในร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใช้มะนาวแท้ ส่วนเปลือกมะนาว กำลังวิจัยร่วมกับ สวทช.และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพื่อนำมาทำเป็นสินค้ากลุ่มของใช้ในบ้าน คอสเมติกส์ หรือเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร โดยไม่ทิ้งให้เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม
โดยในส่วนของน้ำมะนาวแช่แข็งเป็นการขายในประเทศเป็นหลัก เริ่มทำตลาดส่งออกไปยังญี่ปุ่นในสัดส่วน 5% ของการผลิต
วิริยายังบอกด้วยว่า การที่ “เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพ” เป็นเทรนด์ที่มาแรง เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ นวัตกรรมจะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
“เรื่องของนวัตกรรมกับผู้ประกอบการไทย เป็นเรื่องสำคัญ ผู้ประกอบการบางรายคิดไม่ออกในเรื่องนวัตกรรม อยากให้ลองมาปรึกษากับหน่วยงานที่เชี่ยวชาญต่างๆ เช่น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ, สวทช., ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นต้น จะได้ยกระดับสินค้าไทย โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตร เมื่อได้สินค้าที่มีนวัตกรรมรองรับ มีความปลอดภัย มีคุณภาพดี มีความแตกต่างในตลาด จากนั้นจึงค่อยๆ หาช่องทางการตลาดรองรับ พร้อมกับการทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาลอย่างอยู่ในหัวใจ ก็จะทำให้ธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืน”
สำหรับในส่วนของไบโอเวกกี้ การบริหารงานอย่างมี “ธรรมมาภิบาล” สร้างประโยชน์สู่สังคม พร้อมกับการดำเนินธุรกิจอย่างมีสัมมาชีพ เป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญมาตลอด 14 ปีของการดำเนินธุรกิจ