“บีซีจี โมเดล” New Growth Engine เคลื่อนไทยโตยั่งยืน รับมือ ภูมิทัศน์โลกใหม่
โลกหลังวิกฤติโควิดเกิด “ภูมิทัศน์โลกใหม่” (New Global Landscape) ที่ซับซ้อนกว่าเดิม
ประชาคมโลกรวมถึงไทยจึงต้องเร่งหา “ที่ยืน” ให้กับตัวเองว่า โมเดลเศรษฐกิจแบบไหน คือ New Growth Engine หรือ “เครื่องยนต์ใหม่” ที่จะขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมั่งคั่งและยั่งยืนในเวทีโลก
วันนี้ ผู้คนเผชิญแรงกดดันจากปัญหาหลากมิติ ทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) การแข่งขันเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรง การงัดข้อระหว่างมหาอำนาจโลกสหรัฐอเมริกาและจีน ซ้ำเติมด้วยปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
แล้วอะไรจะเป็นโมเดลใหม่ โอกาสใหม่ หรือรับมือกับความกดดัน แรงกระแทกทั้งหลายได้ดี
ในมุมมองของ “ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นักคิด-นักการตลาดเชิงกลยุทธ์จาก Kellogg ผู้เชื่อมั่นในความคิดเชิงระบบที่เริ่มต้นจาก
โลกทัศน์และหลักคิดที่ถูกต้อง ย่อมนำมาซึ่งความเป็นปกติสุขและความยั่งยืน
ในทางตรงข้าม โลกทัศน์และหลักคิดที่ไม่ถูกต้อง ย่อมนำความโกลาหลมาสู่โลก
สำหรับเขาแล้ว ระบบหรือระเบียบโลกใหม่ที่จะสร้าง New Growth Engine รับมือแรงกดดันถาโถมดังกล่าว ทั้งยังเป็น โอกาสของประเทศไทย คือ “โมเดลเศรษฐกิจ BCG” ที่ไม่ใช่การฉายหนังซ้ำ หากเกิดจากวิธีคิดที่ตกผลึกแล้ว ดังที่เขากำลังจะฉายภาพเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ผู้คนในวงกว้าง เพื่อให้เกิดการลงมือทำ รับมือกับความท้าทายโลก
โดยเขาเห็นว่า โมเดลเศรษฐกิจ BCG คือ “ความครบเครื่อง” ที่สามารถแก้โจทย์โลกถึง 4 มิติในเวลาเดียวกัน ทั้งมิติเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม และการเมือง (สะท้อนผ่านปัญหาปากท้อง ความเป็นประชาธิปไตย ความเป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำ)
“เครื่องยนต์เพื่อสร้างการเติบโตใหม่อย่าง BCG แม้จะเป็นโมเดลทางเศรษฐกิจ แต่สามารถตอบโจทย์ได้ถึง 4 มิติ และยังเป็นการเติบโตแบบไม่มีใครได้ ใครเสีย
ไม่ได้พูดถึงส่วนแบ่งในตลาดโลก ไม่ได้พูดถึงขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งเป็นเรื่องยากหากจะแข่งขันแบบนี้ต่อไปบนฐานความไม่ยั่งยืนของทรัพยากรโลกในปัจจุบัน แต่จะต้องเป็นการเติบโตที่หากคนอื่นไม่ได้ ก็ไม่มีใครเสีย (Win Win Strategy) ขณะเดียวกันต้องตอบโจทย์ความท้าทายภายในประเทศเราด้วย โดยเฉพาะเรื่องของความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม การช่วงชิงทรัพยากรระหว่างรายใหญ่และรายย่อย เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน” ดร.สุวิทย์ เผยผลลัพธ์ของโมเดลเศรษฐกิจ BCG
ทำไม BCG จึงเป็นโมเดลที่หากคนอื่นไม่ได้ ก็ไม่มีใครเสีย?
คำตอบคือ เพราะแต่ละประเทศ ต่างยืนอยู่บน “ความแตกต่างหลากหลาย” ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่แต่ละประเทศมีแตกต่างกัน เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของ BCG ที่ว่าด้วยเรื่อง B: Bio Economy หรือความหลากหลายทางชีวภาพ ที่เกิดควบคู่กับความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งนับเป็น “จุดแข็ง” ของประเทศไทย ที่เป็นเมืองในเขตโซนร้อน ซึ่งสามารถต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคเกษตร อาหาร สุขภาพ การแพทย์ อุตสาหกรรมชีวภาพต่างๆ และยังเป็นประเทศที่รุ่มรวยวัฒนธรรม มีความหลากหลายด้านการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เป็นต้น
แต่ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาจุดแข็งที่ตัวเองมีดีอยู่แล้ว ไปสู่การสร้างความแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องเข้ามามีส่วนร่วม
“ประเทศไทยต้องหันกลับมามองจุดแข็งของตัวเอง แทนที่จะไปแข่งขันกับคนอื่น เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ซึ่งมีจุดแข็งไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องแข่งขันกัน สำหรับการค้าและการลงทุนเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศน่าจะนำมาเสริมกัน มาร่วมมือกัน (Trade Creation) มากกว่าจะมาแข่งขัน (Trade Diversion) เพื่อทำให้โลกในอนาคตอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข”
ขณะที่มุมมองด้าน C: Circular Economy (เศรษฐกิจหมุนเวียน) และ G: Green Economy (เศรษฐกิจสีเขียว) อีกสององค์ประกอบของโมเดลเศรษฐกิจ BCG นั้น “ดร.สุวิทย์” ระบุว่า เป็นวิกฤติโลกที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกัน นำทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นำกลับมาใช้ซ้ำ พร้อมกับใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำแล้วดีต่อโลก ดีต่อตนเอง ดีต่อธุรกิจ นำไปสู่ปลายทางด้านความยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals – SDGs)
“นี่คือโมเดลเศรษฐกิจ BCG ในมิติทางเศรษฐกิจ และมิติสิ่งแวดล้อม ที่สามารถขยับจากมุมมองระดับประเทศไปสู่ระดับพื้นที่ (Area Based BCG) หมายถึง ระดับภาค ชุมชน ท้องถิ่น ด้วยการนำอัตลักษณ์-เอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ที่มีความหลากหลายมาเป็นจุดแข็ง ค้นหาเพชรในตม แล้วเจียระไน ก็จะช่วยสร้างรายได้ สร้างความกินดีอยู่ดี มีสุขให้กับพื้นที่ ดังนั้นโมเดลเศรษฐกิจ BCG จึงนับว่ามีส่วนขับเคลื่อนมิติทางสังคม เป็นการเติบโตที่ยั่งยืน ที่ทุกคนมีส่วนร่วม และเป็นซอฟท์พาวเวอร์ของประเทศที่มาจากฐานราก” อดีตรมว.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ทัศนะ
ขณะที่มิติด้านการเมือง ตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG นั้น เมื่อคนในระดับพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วม จะทำให้เกิดการนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี การจัดการสมัยใหม่ที่ตัวเองมีกลับมาพัฒนาพื้นที่ของตัวเอง เช่น การบริหารน้ำชุมชน ขยะชุมชน ท่องเที่ยวชุมชน เป็นต้น ทำให้แรงงานคืนถิ่น ลดการไปทำงานในเมืองหลวง เศรษฐกิจจึงมีการกระจายตัว และในมิติทางการเมืองจึงหมายถึงการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ แทนการกระจุกตัวอยู่กับรายใหญ่ ก็ลงมาสู่รายย่อย ลงมาสู่วิสาหกิจชุมชน เป็น “ทุนนิยมเชิงพื้นที่” เมื่อคนกินดีอยู่ดี มี “สัมมาชีพ” ก็จะเกิดประชาธิปไตยเชิงเศรษฐกิจที่มาจาก BCG ซึ่งในที่สุดก็เติบโตคู่ขนานกับระบบประชาธิปไตยเชิงการเมือง “ดร.สุวิทย์” เล่า
ดังนั้น โมเดลเศรษฐกิจ BCG จึงเป็นเรื่องของการ “กระจายโอกาส” ใน 4 มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม การเมือง ไปในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดการกระจายอำนาจ ให้ตกอยู่ในมือของประชาชน (People Power) ไม่ใช่แค่ พลังทางการตลาด (Market Power) ที่สำคัญเป็น People Power ที่อยู่ในชุมชนท้องถิ่น
“โมเดลเศรษฐกิจ BCG ไม่ใช่เรื่องอุดมคติที่เป็นไปไม่ได้ หากแต่เป็น อุดมคติที่เข้าถึงได้ เป็นอุดมคติที่กินได้ เป็นอีกมุมหนึ่งในการแก้ไขปัญหาความยากจน ที่เกิดจากไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำ ซึ่งสามารถเริ่มต้นได้จากการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ และลงมือทำทันที โดยเชื่อมั่นใน People Power ว่าสามารถสร้างตัวตน (เอกลักษณ์-อัตลักษณ์)ในพื้นที่ ยืนบนขาตัวเองได้และอยู่ร่วมกันผู้อื่นได้อย่างปกติสุข เป็นสังคมของการเกื้อกูล แบ่งบัน เป็นสังคมที่เปลี่ยนจากสังคมของพวกกู (Me Society) เป็นสังคมของพวกเรา (We Society)”
ทั้งหมดนี้ คือ การสังเคราะห์โมเดลเศรษฐกิจ BCG ของดร.สุวิทย์ ที่มองไกลไปกว่ามิติด้านเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม (Bio- Circular-Green Economy) ไปสู่ผลลัพธ์ในมิติทางสังคม และมิติทางการเมือง
บนกรอบความคิด “การดึงจุดแข็งและคุณค่า” ที่แตกต่างหลากหลายในแต่ละพื้นที่ มาต่อยอด-สร้างมูลค่าเพิ่ม
วิธีคิดเช่นนี้ จึงไม่เน้นการแข่งขัน ไม่มีผู้แพ้ – ผู้ชนะ มีแต่การเติมเต็มเสริมแกร่งซึ่งกันและกัน ทำให้โลกน่าอยู่ เป็นสังคมเกื้อกูล แบ่งปัน สร้างความกินดีอยู่ดี มีสุข มีสัมมาชีพ ตั้งแต่ระดับโลก ประเทศ ภาค ชุมชน ท้องถิ่น และหน่วยย่อยอื่นๆ ในสังคม คลี่คลายทั้งปัญหาระดับโลกจากภูมิรัฐศาสตร์ การแข่งขันเทคโนโลยีรุนแรง ปัญหาสิ่งแวดล้อม และยังแก้โจทย์ท้าทายภายในประเทศ สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาส ลดความยากจน และทำให้เกิดการกระจายตัวของเศรษฐกิจสู่ฐานราก ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ดร.สุวิทย์ จะร่วมปาฐกถาพิเศษในหลักสูตรอบรม ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่นที่ 14 “BCG in Collaboration : เพิ่มคุณค่าธุรกิจ ช่วยเศรษฐกิจยั่งยืน” ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิสัมมาชีพ โดยจะปาฐกถาในหัวข้อ “Thailand in the New Global Landscape: BCG as Thailand New Growth Engine” ในวันที่ 15 มิถุนายน 2567 อีกด้วย