“วิเชฐ” ชู หลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง หรือ LFC ธีม BCG in Collaboration เพิ่มคุณค่าธุรกิจ ช่วยเศรษฐกิจยั่งยืน ตอบโจทย์ “ความยั่งยืน” ระเบียบโลกใหม่ภาคบังคับ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต้องรู้-ปฏิบัติ แนะผนึกความร่วมมือ ทำธุรกิจเชื่อมชุมชนสู่ตลาดโลก ขณะ “ต้องใจ” ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานความยั่งยืนฯ ไทยเบฟ ชี้ ความยั่งยืน คือ กลยุทธ์และโอกาสของธุรกิจยุคนี้ 

นายวิเชฐ ตันติวานิช ประธานสถาบันผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง มูลนิธิสัมมาชีพ กล่าวในการเสวนา “Sharing Experiences สร้างความยั่งยืน เชื่อมชุมชน สู่ตลาดโลก” ผ่านช่องยูทูปตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ความยั่งยืนได้กลายเป็น “ภาคบังคับ” ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งต้องรู้และปฏิบัติตามมาตรฐาน ตัวชี้วัดต่างๆ ที่โลกกำหนดขึ้น หากต้องการทำธุรกิจการค้าในตลาดโลก

“เรื่องของ ESG มีความชัดเจนในนิยาม หลังสหประชาชาติ นิยามไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว จนเกิดรางวัล Dow Jones Sustainability Index (DJSI) ซึ่งรางวัลนี้ไม่ได้ให้กันง่ายๆ ภาคธุรกิจต้องปฏิบัติจริงตามมาตรฐานจึงจะได้รับรางวัล เช่นเดียวกับเรื่องของ ESG รวมถึง BCG ถ้าไม่ทำ ก็จะไม่มีใครค้าขายด้วย คือ แม้จะเคยค้าขายกันมานาน แต่เมื่อมีระเบียบโลกใหม่ เราก็ซื้อขายกันไม่ได้ เพราะไม่ผ่านมาตรฐานที่โลกกำหนด” ประธานสถาบันผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง มูลนิธิสัมมาชีพ กล่าว

ดังนั้น จากระเบียบโลกใหม่ด้านความยั่งยืนที่กำหนดให้ธุรกิจต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม ชุมชน ทำให้การอบรมหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership For Change – LFC) ซึ่งมูลนิธิสัมมาชีพจัดขึ้นในปีนี้ ได้กำหนดธีม BCG in Collaboration เพิ่มคุณค่าธุรกิจ ช่วยเศรษฐกิจยั่งยืน โดยเป็นการให้ความสำคัญในการสร้างความยั่งยืน โดยเฉพาะการผนึก “ความร่วมมือ” (Collaboration) ของผู้เข้าร่วมอบรม ประกอบด้วย 3 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคมเพื่อร่วมมือกันสร้างความยั่งยืน ดังนั้นจึงคาดหวังว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะให้ความสนใจเข้ามาร่วมอบรมหลักสูตรนี้เพื่อการแสวงหาแนวทางสร้างความยั่งยืน ตอบโจทย์ระเบียบโลกใหม่ภาคบังคับ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่หรือเล็ก

“บริษัทเล็กก็สามารถทำเรื่องความยั่งยืนได้ แม้ทุนน้อย หรืออาจจะยังไม่มีไอเดีย แต่เมื่อมาอบรมหลักสูตร LFC จะพบตัวอย่างจากการดำเนินงานของชุมชนต่างๆ หรือได้ลงพื้นที่ ลงมือปฏิบัติจริงก็จะเป็นไอเดีย นำไปต่อยอดความยั่งยืนในองค์กรของตนเองต่อไป หรืออาจจะร่วมมือระหว่างผู้เข้าร่วมอบรม ทำโครงการเฉพาะเจาะจงขึ้น สิ่งนี้ก็จะสามารถแสดงต่อสังคมได้ว่า บริษัทจดทะเบียนฯ ได้เข้ามามีส่วนร่วมสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ธุรกิจไปต่อได้ มีคนคบค้า ดังนั้นบริษัทเล็กก็ย่อมมีทางออกในการสร้างความยั่งยืนได้เช่นกัน”  ประธานหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง มูลนิธิสัมมาชีพกล่าว

ขณะที่นางต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการและกรรมการบริหารบริษัท ซี.เอ.ไอ. (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด หรือ C asean กล่าวว่า ได้เป็นวิทยากรในหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงในครั้งนี้ และเห็นว่าเป็นหลักสูตรที่ดี เพราะผู้เข้าร่วมอบรมจะได้รับทั้งความรู้จากผู้เชี่ยวชาญที่มาบรรยาย ได้ประสบการณ์จริงจากการลงพื้นที่ ถือเป็นการอบรมที่ได้ทั้งสาระและจับต้องได้ ขณะเดียวกันเรื่องของความยั่งยืน จัดเป็นกลยุทธ์สร้างความเติบโตให้กับธุรกิจในยุคนี้ที่บริษัทจดทะเบียนฯ ต้องให้ความสำคัญ

“ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนฯ ต้องมองเรื่องความยั่งยืนกับกลยุทธ์ธุรกิจว่าเป็นเรื่องเดียวกัน โดยเฉพาะการเชื่อมโยงการทำงานกับชุมชน ธุรกิจกับชุมชนต้องอยู่ร่วมกันได้ ไปพร้อมกับการดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ องค์กรยังต้องสื่อสารกับผู้บริโภคให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างความยั่งยืน รักษ์โลก เพราะถ้าผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรม จะทำให้ผู้ที่อยู่ในซัพพลายเชนทั้งหมด มาร่วมกันทำเรื่องความยั่งยืน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไทยเบฟทำมาต่อเนื่อง”

รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ยังบอกด้วยว่า ภาคธุรกิจไม่ควรมองว่า การทำเรื่องความยั่งยืนเป็นการลงทุนสูง แต่อยากให้มองในแง่ของการลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสธุรกิจ เช่น การลดก๊าซเรือนกระจกด้วยการติดโซลาร์เซลล์จะช่วยลดค่าไฟฟ้า หรือบริษัทที่มีน้ำมันใช้แล้วเป็นจำนวนมากก็สามารถนำไปจำหน่ายให้กับบริษัทที่ทำด้านพลังงานทดแทน สิ่งเหล่านี้ก็จะกลายเป็นโอกาสธุรกิจ ซึ่งหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง มีส่วนเปลี่ยนมุมมองความคิด (mindset) ผู้เข้าร่วมอบรมในเรื่องเหล่านี้

รับชมคลิปสัมภาษณ์ (ขอบคุณที่มา SET Thailand )