skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
เทรนด์ธุรกิจ ESG ตอบโจทย์โลกยุคโลว์คาร์บอน  ปรับตัวสู่ “ธุรกิจยั่งยืน – การเงินยั่งยืน”

เทรนด์ธุรกิจ ESG ตอบโจทย์โลกยุคโลว์คาร์บอน ปรับตัวสู่ “ธุรกิจยั่งยืน – การเงินยั่งยืน”

ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    ในการอบรมหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change – LFC) รุ่นที่ 15 ในโมดูล 2 “เทรนด์ธุรกิจ ESG ตอบโจทย์โลกยุคโลว์คาร์บอน” วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ต่างให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า ESG เป็นเทรนด์โลกที่นักธุรกิจ นักลงทุน และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องติดสปีดปรับตัวรับมือกติกาโลกที่เปลี่ยนไปให้ทัน สู่การเป็นธุรกิจยั่งยืน – การเงินยั่งยืน จึงจะรอดจาก“คาร์บอนเกม”

ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ESG: ระเบียบใหม่ให้โลกยั่งยืน” ได้ระบุว่า โลกที่เปลี่ยนไปจากปัญหาสิ่งแวดล้อม (Environmental) ปัญหาสังคม (Social) และปัญหาบรรษัทภิบาล (Governance) ทำให้ที่ผ่านมา นานาประเทศ โดยเฉพาะผู้กำหนดกติกาโลก อาทิ ธนาคารโลก (World Bank) องค์การสหประชาชาติ (United Nation) รวมไปถึงที่ประชุม World Economic Forum (WEF) ต่างแสดงความกังวลต่อผลกระทบ และร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหา จึงกลายเป็นการนำเรื่องของ ESG มากำหนดเป็นกติกาการค้าใหม่ ขณะที่กองทุนใหญ่ของโลก เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นยั่งยืน

**ฝัง ESG ในแผนธรุกิจ

ปิดความเสี่ยง สร้างโอกาสธุรกิจ

กติกาการค้าที่เปลี่ยนไปดังกล่าว จึงเป็นสิ่งที่ “องค์กรธุรกิจ” โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนของไทย ต้องทำความเข้าใจและปรับตัวให้ผ่านเกณฑ์ชี้วัดด้าน ESG เพื่อรักษาระดับความน่าสนใจในการลงทุน และการเติบโตทางธุรกิจไว้ โดยองค์กรธุรกิจควรกำหนดเรื่อง ESG ไว้ในแผนธุรกิจ (In Practices) เนื่องจากเป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสในการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด

ในส่วนของการดำเนินการด้านความยั่งยืน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักกทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กำหนดให้ บริษัทจดทะเบียนของไทย ต้องเปิดเผยรายงานประจำปีเป็นวันรีพอร์ท โดยเนื้อหากำหนดให้รายงานด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในสโคป 1 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงจากองค์กร) และสโคป 2 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากแหล่งพลังงานหรือไฟฟ้าที่องค์กรซื้อมาจากแหล่งอื่นๆ) ซึ่งเริ่มดำเนินการเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังได้จัดพัฒนาเครื่องมือเพื่อประเมินความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนของไทยเรียกว่า SET ESG Ratings โดยพิจารณาจาก 3 มิติ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม  สังคม และบรรษัทภิบาล ซึ่งช่วยสร้างมาตรฐานในการวัดผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน พร้อมทั้งสนับสนุนการลงทุนและการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบในตลาดทุนไทย โดยในปี 2569 เป็นต้นไป จะเปลี่ยนจาก SET ESG Rating มาใช้มาตรฐาน FTSE Russell ของตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (LSEG) ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลก มาเป็นกรอบการให้คะแนนความยั่งยืนใหม่กับบริษัทจดทะเบียนของไทย เป็นต้น

 

**หุ้น ESG ให้ผลตอบแทนดีในระยะกลาง – ยาว

ดร.ศรพล ยังระบุว่า ในมุมของนักลงทุน การลงทุนในหุ้นยั่งยืน (ESG) แม้จะไม่เห็นผลทันที แต่มีข้อมูลระบุว่ามีแนวโน้มจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางและยาว และลดความเสี่ยงในระยะยาว ขณะที่บริษัทที่ดำเนินการตามเกณฑ์ ESG นอกจากจะสร้างอัตราเติบโตในระยะกลางและยาวแล้ว ยังปิดความเสี่ยงจากการถูกฟ้องร้องในอนาคต

“นักลงทุนถามว่า ลงทุนในหุ้น ESG ให้ผลตอบแทนดีกว่าหรือไม่ ต้องยอมรับว่าเรื่องความยั่งยืนไม่เห็นผลทันที แต่เป็นเรื่องที่จะมีผลเชิงบวกในระยะกลางและยาว ขณะที่กองทุนที่จะเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะจากยุโรปเหนือมักจะลงทุนในหุ้นยั่งยืน

นอกจากนี้เรายังพบว่า เจนวาย เจนแซด มักมีพฤติกรรมการลงทุนในหุ้นที่สะท้อนความเป็นตัวเอง เช่น หุ้น ESG หุ้นเทคโนโลยี โดยไม่ได้มองเรื่องผลตอบแทนการลงทุนเพียงอย่างเดียว” ดร.ศรพล กล่าว

**อนาคตอุตสาหกรรมไทย

เปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และบุคคลต้นแบบสัมมาชีพ

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และบุคคลต้นแบบสัมมาชีพ ปี 2567 ปาฐกถาพิเศษ “อนาคตอุตสาหกรรมไทย: เปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้วย ESG” โดยระบุถึงความท้าทายโลกที่กระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยที่ขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยในสัดส่วนหนึ่งในสามว่า นอกจากความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี (Technology Disruption) ทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยที่ส่วนใหญ่รับจ้างผลิตต้องเร่งปรับตัวแล้ว ยังมีความท้าทายในเรื่องสงครามการค้า (Trade War) ที่มีสหรัฐและจีน เป็นผู้เล่นหลัก และความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ระหว่างยูเครนกับรัสเซีย และอิสรเอลกับอิหร่าน ที่อาจบานปลาย

ทว่า ความท้าทายเหล่านี้ ยังไม่หนักเท่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (Climate Change) เพราะส่งผลกระทบต่อการอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ รวมถึงภาคอุตสาหกรรมไทย ที่ต้องเร่งเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ลดการทำลายสิ่งแวดล้อมในภาคการผลิต ดูแลสังคม และมีธรรมาภิบาล

รวมถึงการปิดความเสี่ยงจากการมาตรการกีดกันทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อม ที่จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เช่น มาตรการ CBAM ที่สหภาพยุโรปเริ่มใช้ โดยระบุให้สินค้าที่ส่งออกไปสหภาพยุโรป จะถูกเก็บภาษีเพิ่มหากไม่ผ่านมาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่กำหนด ขณะที่สหรัฐอเมริกา และจีน ก็เริ่มมีมาตรการเหล่านี้ออกมา

“อนาคตของอุตสาหกรรมไทย คือเรื่องความยั่งยืน เป็นเทรนด์โลกที่ต้องบาลานซ์ระหว่างกำไรกับการดูแลสิ่งแวดล้อม เป็นภาพใหญ่ที่ ส.อ.ท. มีนโยบายที่จะปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทยไปสู่ความยั่งยืน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) พลังงานสะอาด เทคโนโลยีสะอาด BCG เป็นอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve)”

**Go Green – New S-Curve – BCG

ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยั่งยืน

ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุถึงนโยบายของ ส.อ.ท. เพื่อสร้างอุตสาหกรรมยั่งยืน ประกอบด้วย 4 GO ได้แก่ GO Digital & AI สนับสนุนให้เอสเอ็มอีเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่าย  สร้างความแม่นยำในการประกอบธุรกิจ, GO Innovation ผลักดันเอสเอ็มอีให้เข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมได้มากขึ้นผ่านโครงการด้านนวัตกรรมต่าง ๆ, GO Global ผลักดันให้เอสเอ็มอีผลิตและส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศในมาตรฐานที่ต่างประเทศยอมรับ สร้างและขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ และที่สำคัญคือ GO Green ขับเคลื่อนองค์กรให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน หรือ ESG และสร้างแต้มต่อในการเลือกใช้สินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

       นอกจากนี้ยังกำหนด 5 อุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) เพื่อสร้างความยั่งยืน ประกอบด้วย อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม (Robotics), อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation and Logistics), อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals), อุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital), อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub)

       ขณะเดียวกันยังส่งเสริมอุตสาหกรรม BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มภาคการเกษตรไทย นำสินค้าเกษตรมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้า ได้แก่ อุตสาหกรรมไบโอฟาร์มา (สมุนไพรสกัดเป็นยา),ไบโอคอสเมติกส์ (เครื่องสำอางสกัดจากพืช), ไบโอซัพพลีเมนต์ (อาหารเสริมจากพืช), ไบโอฟูดฟอร์เดอะฟิวเจอร์ (อาหารอนาคตจากโปรตีนพืชแทนเนื้อสัตว์), ไบโอพลาสติก (พลาสติกจากพืช), ไบโอเคมิคัลส์ (เคมีชีวภาพ), ไบโอฟิล (เชื้อเพลิงจากพืช)

“ตอนนี้ส.อ.ท.อยู่ระหว่างดำเนินโครงการ Smart Agriculture Industry เกษตรอตสาหกรรมอัจฉริยะ นำสินค้าเกษตรมาทำเป็นวัตถุดิบภาคอุตสาหกรรม  โครงการแรกอยู่ที่มหิดล ใช้พื้นที่ 13 ไร่ เริ่มต้นด้วยการปลูกเห็ดทุกประเภทและนำมาวิจัยแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ โดยร่วมกันทำงานระหว่างนักวิจัยและคนในภาคอุตสาหกรรม หวังให้เป็นต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ ตามแนวทาง BCG” ประธาน ส.อ.ท. กล่าว

**ธุรกิจปรับตัวเข้าเกณฑ์ยั่งยืน

โอกาสเข้าถึงสินเชื่อสีเขียว

ดร.วิชัย ณรงค์วณิชย์
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย

ดร.วิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ได้บรรยายในหัวข้อ “การเงินเพื่อความยั่งยืน” โดยระบุว่า ESG นับเป็นสิ่งที่ตลาดเงินและตลาดทุนนำมาใช้ในการตัดสินใจลงทุนและให้สินเชื่อ เพื่อลดความเสี่ยงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นเทรนด์โลก และที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังได้ออกมาตรฐาน Thailand Taxonomy ในระยะที่ 1  ซึ่งเป็นมาตรฐานกลางที่ใช้อ้างอิงในการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทย โดยแบ่งกิจกรรมในการปล่อยสินเชื่อ เป็น 3 ระดับ สีเขียว คือ กิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สีเหลือง คือ กิจกรรมที่สามารถปรับปรุงและพัฒนากิจกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น และสีแดง คือ กิจกรรมที่ไม่เป็นต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลต่อการประเมินสินเชื่อของสถาบันการเงิน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องภาคธุรกิจต้องเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และกำลังจะตามมาในอนาคต

ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ยังกล่าวถึงหลักการที่ธนาคารจะใช้ประเมินการให้สินเชื่อเพื่อความยั่งยืน จะประกอบด้วย 3 เรื่อง คือ 1.จะต้องนำเงินไปลงทุนในเทคโนโลยีที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จริง 2.เมื่อลงทุนไปแล้วธุรกิจต้องไปต่อได้ และ 3.ธุรกิจจะต้องมีความสามารถนำเงินมาชำระสินเชื่อได้

“ถ้าลูกค้าไม่ปรับตัว ณ จุดหนึ่ง ธนาคารก็ไม่สามารถพาทุกคนไปได้พร้อมกัน เพราะกฎเกณฑ์ด้านความยั่งยืน ส่งผ่านมาถึงธนาคาร ถือเป็นความเสี่ยงและโอกาส โดยธุรกิจที่ไม่ปรับตัวจะเป็นความเสี่ยงที่ธนาคารต้องประเมิน แต่สำหรับธุรกิจที่ปรับตัวได้ดี จะเป็นโอกาสที่ธนาคารและธุรกิจจะสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน เติบโตยั่งยืนไปด้วยกัน” ดร.วิชัย ระบุ

** “สิ่งแวดล้อม” ความเสี่ยงแรงต่อเนื่อง

ในระยะ 10 ปีจากนี้  

วรวัฒน์ ศรียุกต์
ผู้อำนวยการด้านบริหารองค์กรเพื่อความยั่งยืน บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด และ SET ESG Experts Pool

วรวัฒน์ ศรียุกต์ ผู้อำนวยการด้านบริหารองค์กรเพื่อความยั่งยืน บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด และ SET ESG Experts Pool บรรยายหัวข้อ “รับมือความเสี่ยง ESG: เสริมแกร่งธุรกิจยุคท้าทาย” ว่า ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมในระยะ 10 ปีจากนี้ จะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลจากการนำเรื่องสิ่งแวดล้อมมากำหนดเป็นมาตรการทางการค้า กฎเกณฑ์ของโลก เช่น การประกาศเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ของประเทศต่างๆ เพราะทั่วโลกประเมินแล้วว่า หากแต่ละประเทศไปร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส “โลกจะอยู่ไม่ได้”  สิ่งนี้เองทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้มิตรผล ในฐานะผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ในไทยและผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลก ความเสี่ยง ขององค์กร คือ เรื่องการเผาอ้อย (วัตถุดิบในการผลิตน้ำตาล) ของเกษตรกร ทำให้เกิดโลกร้อน ซึ่งเป็นเรื่องที่มิตรผลต้องเข้าไปดำเนินการร่วมกับเกษตรกรเพื่อลดปัญหานี้  เช่น การนำชานอ้อยไปผลิตไฟฟ้า ทำปุ๋ย การรุกสู่ธุรกิจพรีไบโอติกส์ โปรไบโอติกส์ รวมไปถึงการทำน้ำมันอากาศยานจากพืช

ทั้งนี้แนวทางลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ (Collaborations) และสายสัมพันธ์ ในการแก้ไขปัญหาจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งองค์กรธุรกิจ ซัพพลายเออร์ สังคม ชุมชนรอบโรงงาน ซึ่งเป็นแนวทางที่มิตรผลดำเนินการมาโดยตลอด

และทั้งหมดนี้คือเนื้อหาจากการอบรมหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง ในโมดูล 2 “เทรนด์ธุรกิจ ESG ตอบโจทย์โลก ยุคโลว์คาร์บอน”

สะท้อนว่า การเร่งแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของประเทศต่างๆในโลก กำลังจะเปลี่ยนเกมธุรกิจทั่วโลก รวมถึงธุรกิจไทย ให้ต้องเล่นตาม หากต้องการจะอยู่รอดอย่างยั่งยืน


Back To Top