skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
สร้างผู้นำสัมมาชีพ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง  ขยายผลสู่ สัมมาชีพเต็มพื้นที่  จึงเขยื้อนภูเขา “ทำเรื่องยากให้สำเร็จได้”

สร้างผู้นำสัมมาชีพ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง ขยายผลสู่ สัมมาชีพเต็มพื้นที่ จึงเขยื้อนภูเขา “ทำเรื่องยากให้สำเร็จได้”

การอบรมหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่นที่ 15 Module 1 เริ่มต้นด้วยความสำคัญของสัมมาชีพ และ ESG ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งจะต้องมี “ผู้นำ” ที่มีคุณสมบัติพิเศษ จึงจะนำความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น รวมทั้งการผนึก “ไตรพลัง”  เพื่อ “ทำเรื่องยากให้สำเร็จ”  จึงจะสามารถขยายผลในหลายพื้นที่ เกิดเป็น “สัมมาชีพเต็มพื้นที่” ได้

ประการสำคัญต้องมีนวัตกรรมทางสังคมเป็นกลไกออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหาสังคม จึงจะสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นได้

ผู้นำ (Leader) ไม่ใช่ตำแหน่ง..!

แต่คือ ภาวะผู้นำ (Leadership) จึงจะนำคนอื่นให้คล้อยตามได้

ทว่า การนำยังเป็นไปได้ทั้ง “นำในทางที่ดี” และ “นำไปสู่หายนะ”

คุณวิเชฐ ตันติวานิช รองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ และประธานกรรมการสถาบันผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง

ดังนั้น โลกย่อมต้องการ “ผู้นำนำการเปลี่ยนแปลงที่ดี” เพื่อสร้างศานติสุขให้เกิดขึ้น จึงจะเป็น Great Leader ที่แท้จริง “วิเชฐ ตันติวานิช” รองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ และประธานกรรมการสถาบันผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง กล่าวตอนหนึ่งในการปาฐกถาพิเศษ “The ESG Leader: ผู้นำเปลี่ยนโลก” ในการอบรมหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change – LFC) รุ่นที่ 15
แล้วคุณสมบัติของ Great Leader ต้องเป็นแบบไหน?

แรกสุดที่ต้องมีคือ “ความเต็มอกเต็มใจ” (Willingness)  เป็นเสมือนแม่ทัพ ที่มีความสามารถ ที่สำคัญเต็มใจออกรบ และต้องโน้มน้าวให้คนอื่นไปรบด้วยกันให้ได้ “วิเชฐ” เปรียบเปรย

เป็น Leadership for Change ต้อง Change คนอื่นให้ได้ !  เขาย้ำ และบอกด้วยว่า ผู้ที่มีภาวะผู้นำ ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุด แต่สิ่งที่ต้องมีคือ “ศรัทธา มีบารมี” ทำให้คนรอบข้างยอมรับ ผ่าน 3 หลักการทำงาน คือ

  1. ต้องเป็นผู้ที่กล้าตัดสินใจ บนข้อมูลที่มี และข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
  2. ต้องเป็นนักแก้ปัญหาที่ดี เพราะปัญหารายล้อมอยู่ตลอด
  3. ต้องเป็นนักสื่อสารที่ดี ทั้งการสื่อสารกับตนเอง บอกตัวเองได้ว่าทำสิ่งนั้นไปเพราะเหตุใด และสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจ คล้อยตามได้

ผู้ที่มีภาวะผู้นำ ยังประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ อำนาจ (Power) คือความสามารถทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นตามความต้องการ, สิทธิอำนาจ (Authority) คือสิทธิในการตัดสินใจและปฏิบัติต่อการเปลี่ยนแปลง และอิทธิพล (Influence) คือ การกระทำต่อบุคคลที่มีผลกระทบต่อความคิด ทัศนคติ หรือการกระทำของอีกบุคคลหนึ่ง

การนำการเปลี่ยนแปลง “วิเชฐ” เน้นว่า สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ คือ การแบ่งปัน (Share) เป็นห่วงเป็นใย (Care) และความยุติธรรม (Fair)  ผ่าน 6 วิธีทำให้ผู้อื่นคล้อยตาม หรือ 6 A  ประกอบด้วย

A- Awareness   การเตือน แนะนำ หรือสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้ตาม

A-Acknowledge การถ่ายทอดความรู้ให้ผู้ตาม,

A-Appreciate     การเห็นคุณค่าของผู้ตาม

A-Admire           การชื่นชมยกย่องผู้ตาม

A-Action            การลงมือทำ ให้ผู้ตามเห็น

A-Advocate       การบอกต่อ การสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนั้น

นอกจากนี้สิ่งที่ผู้ที่มีภาวะผู้นำต้องมี คือ ความมุมานะ “ยากแต่ต้องทำให้ได้”

“เมื่อไรที่คุณคิดว่ายากแต่ทำได้ คุณทำได้แน่นอน แต่ถ้าคิดว่าทำได้แต่ยากจะแพ้ตั้งแต่ในมุ้ง”

ประธานกรรมการสถาบันผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง ยังบอกเล่า ความเชื่อที่ตัวเขายึดมั่นมานาน คือ “ชีวิตดีได้ ไม่จำเป็นต้องโกง” ผู้มีภาวะผู้นำ ก็ควรจะเชื่อเช่นนั้น

“ชีวิตที่ดีได้ ไม่จำเป็นต้องโกง ผมเชื่อเรื่องนี้ล้านๆ เปอร์เซ็นต์ เราต้องรู้รับผิดชอบหน้าที่ รักศักดิ์ศรีตนเอง เพราะถ้าผู้นำไปสนับสนุนการโกง จะเกิดผลไม่ดีต่อไป เราต้องสร้างคนรุ่นใหม่ ที่ไม่โกง และเผยแพร่สิ่งเหล่านี้ออกไป เป็นดอกผลที่ส่งต่อ แล้วคุณจะเป็น Great Leader” วิเชฐ ทิ้งท้าย

**สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา

คุณเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ

ไตรพลัง “ทำเรื่องยากให้สำเร็จได้”

ในการปาฐกถาพิเศษ “ภารกิจสัมมาชีพ: สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” โดย เอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ กรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวถึงแนวคิด “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” ว่า คือการทำเรื่องยากให้สำเร็จได้ โดยศาตราจารย์นายแพทย์ ประเวศ วะสี ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสัมมาชีพ กล่าวไว้ว่าจะต้องอาศัย 3 พลังขับเคลื่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลงต้องมี ประกอบด้วย

  1. พลังปัญญา หรือ องค์ความรู้ ที่เกิดจากการทดลองทำจริง ห้ามทำคนเดียว ต้องร่วมมือกัน เป็น Interactive Learning
  2. พลังสังคม หรือ การทำงานร่วมกัน เชื่อมคน เชื่อมชุมชน เชื่อมสังคม เข้าด้วยกัน
  3. พลังนโยบาย หรือ การสนับสนุนจากภาครัฐ

“ถ้าเราทำโดยประชาชน แต่รัฐซึ่งคุมนโยบายดูแลเงินภาษีประชาชนไม่เห็นด้วย ก็เป็นเรื่องยากที่จะสำเร็จ จึงต้องเชื่อมคน เชื่อมสังคม และเชื่อมรัฐ จากแนวคิดดังกล่าวทำให้ผู้อบรมหลักสูตร LFC ประกอบด้วยหลายภาคส่วน รัฐ เอกชน ประชาสังคม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากฐานราก เพราะการพัฒนาไม่สามารถแยกส่วนได้ และห้ามเป็น One size fit all เอ็นนู กล่าว

**ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สอดคล้อง ESG

เอ็นนู ยังระบุว่า ESG เป็นเรื่องของการทำธุรกิจโดยคำนึงถึงสมดุล ได้แก่ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ดูแลสังคม และมีธรรมาภิบาล ไม่คำนึงถึงแต่กำไรเพียงอย่างเดียว ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่ในหลวง ร. 9 ท่านทรงมีพระราชดำริในเรื่องนี้มานานแล้ว ยึดหลักทางสายกลางและความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนการใช้ความรู้ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง และมีคุณธรรมเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจและการกระทำ

“เรื่องของภูมิคุ้มกัน ประเทศไทยทำเรื่องนี้น้อยมาก เหมือนร่างกายมนุษย์ถ้าทำร่างกายให้แข็งแรง โรคก็จะหาย ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง การมีภูมิคุ้มกันทำให้เวลาล้ม จะฟื้นตัวเร็ว ไม่เป็นอันตรายมาก โดยในระดับฐานราก ชุมชน ท้องถิ่น ต้องร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยกันสร้างผู้นำตามธรรมชาติ เพื่อนำการเปลี่ยนแปลง เพราะประเทศขับเคลื่อนด้วยคนตัวเล็กตัวน้อยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ” เอ็นนู กล่าว

 

ออกแบบ “นวัตกรรมสังคม” แก้ปัญหาสังคม

เคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

ดร.สุนทร คุณชัยมัง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต

       ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก จำเป็นต้องมีการออกแบบ “กลไกที่มีประสิทธิภาพ” โดยมี “นวัตกรรมทางสังคม” หรือนวัตกรรมที่มุ่งแก้ปัญหาของสังคมที่ดำรงอยู่ ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ “ดร.สุนทร คุณชัยมัง” ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในการบรรยายหัวข้อ นวัตกรรมสังคมกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

เขาได้หยิบยกความสำเร็จของการก่อตั้งธนาคารกรามีน (Grameen Bank) ในปี 1983 ในบังคลาเทศ โดยศาสตราจารย์ยูนุส มาเป็นกรณีศึกษา โดยระบุว่าธนาคารกรามีน ให้บริการสินเชื่อระยะยาวสำหรับลูกค้ารายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มคนจน หรือ “ไมโครเครดิต” ในการเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็กของตัวเอง ในลักษณะการให้สินเชื่อโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ใช้หลักครองตนในการดำเนินงาน ให้คนในชุมชนดูแลกันเอง เสมือนเป็นฝ่ายคัดกรองสินเชื่อ ไม่ให้มีการโกง หรือหลอก เรียกว่า เป็นการสร้างเครดิตขึ้นใหม่จากพฤติกรรมกลุ่มแทนการใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน

แนวทางนี้นับเป็นการออกแบบนวัตกรรมสังคม ในการแก้ไขปัญหาความยากจน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ผ่านกระบวนการทางสังคมอย่างแท้จริง

ขณะที่ในไทยมีกรณีศึกษานวัตกรรมสังคมเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก อาทิ วิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนบ้านอุ่มแสง ที่เปลี่ยนการผลิตข้าวและทำนาของเกษตรกร โดยใช้การตลาดนำ แล้วจึงไปเปลี่ยนกระบวนการผลิต, กรณีศึกษา ตำบลชะอม ในธุรกิจไม้ล้อม ที่จัดตั้งเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนที่มีรูปแบบการจัดการที่ยึดโยงกับความสัมพันธ์ชุมชน ทำให้พึ่งพาความช่วยเหลือจากรัฐน้อยลง รวมถึงกรณีศึกษา ตำบลสะเอียบ – สุราพื้นบ้าน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเครือข่ายวิสาหกิจที่มีรูปแบบการจัดการที่ยึดโยงกับความสัมพันธ์ชุมชน เป็นต้น

ดร.สุนทร ยังเสนอแนะว่า ความสำเร็จของนวัตกรรมสังคมที่เกิดขึ้นในไทย ควรขยายผลจากตัวอย่างดังกล่าว เช่น การดำเนินการเป็น “ศูนย์การเรียนรู้” เพื่อนำเป็นต้นแบบไปยังพื้นที่อื่นๆ ในระดับอำเภอ ชุมชน ท้องถิ่น จังหวัด ให้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง ให้เกิดสัมมาชีพเต็มพื้นที่อย่างแท้จริง

จากหลากแนวทางที่ผสาน จึงจะขยายผลกว้างไกล…จนเขยื้อนภูเขาได้


Back To Top