จากสัมมาชีพ สู่ ESG: ทางสายกลางที่ยั่งยืน มุมมอง “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” ประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ
“ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” ประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ ปาฐกถาพิเศษ “จากสัมมาชีพสู่ ESG” โดยสะท้อนมุมมองที่น่าสนใจว่า แท้จริงแล้ว “สัมมาชีพ” กับ “ESG” หรือการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Environmental) ดูแลสังคม (Social) และมีธรรมาภิบาล (Good Governance) ซึ่งเป็นแนวคิดหลักของการอบรม LFC ในรุ่นนี้ “ESG in Practices: แนวปฏิบัติ ESG สู่ธุรกิจเติบโตและยั่งยืน” เป็นเรื่องที่มีแก่นคิด แนวทางการดำเนินการ และผลลัพธ์ไม่ต่างกัน
นั่นคือการนำไปสู่ “ทางสายกลางที่ยั่งยืน” ให้กับผู้คน
“ESG ประเทศไทยเรามีมานานแล้ว นั่นคือ สัมมาชีพ หรือ การประกอบอาชีพที่ไม่เบียดเบียนตนเอง หมายถึงไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ไม่ทำอะไรที่ทำลายสุขภาพ ไม่กู้หนี้ยืมสินจนเป็นภาระที่ไม่สามารถใช้คืนได้, การไม่เบียดเบียนผู้อื่น หมายถึง การไม่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค คู่ค้า สังคม มีธรรมาภิบาล, การไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม และมีรายจ่ายน้อยกว่ารายได้ มีการออม เพื่อให้ชีวิตมีความมั่นคง ไม่ทำอะไรเกินตัว”
ดังนั้น สัมมาชีพ จึงนับเป็นรากฐานของ ESG ในบริบทไทย เป็นทางสายกลางที่ยั่งยืน ดีต่อธุรกิจ(อาชีพ) ดีต่อสิ่งแวดล้อม ดีต่อคนทุกคนที่อยู่ร่วมกัน “ประเสริฐ” ให้ทัศนะ
ประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ ยังบอกด้วยว่า หากนำหลักสัมมาชีพ ไปปฏิบัติในวงกว้างออกไป ในชุมชน ท้องถิ่น องค์กรจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “สัมมาชีพเต็มพื้นที่” ซึ่งศาสตราจารย์นายแพทย์ ประเวศ วะสี ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสัมมาชีพ ย้ำเสมอว่า “สัมมาชีพเต็มพื้นที่ จะนำไปสู่สังคมที่มีศานติสุข” อย่างแท้จริง เพราะเป็นสังคมที่ไม่เบียดเบียน
แต่การจะทำให้เกิดสัมมาชีพในระดับพื้นที่ได้นั้น “ประเสริฐ” ระบุว่า จำเป็นต้องมี “ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง” เป็นผู้ร่วมกันขับเคลื่อน จึงกลายเป็นที่มาของการอบรมหลักสูตรนี้
ที่มีผลผลิตเป็น “ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งจนถึงปัจจุบันมีผู้จบหลักสูตรนี้แล้ว 1,488 คน
“การเปลี่ยนแปลงที่เราอยากเห็นจากหลักสูตรนี้คือ การลงมือทำร่วมกัน ไม่ใช่ต่างกันต่างทำ แต่คือการบูรณาการของภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อให้เกิดสัมมาชีพเต็มพื้นที่ นี่คือเหตุผลของการออกแบบหลักสูตรนี้ที่ต้องการให้ผู้เข้าอบรม มาจากทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการเงิน ประชาสังคม ชุมชน ท้องถิ่น นักวิชาการ ได้มาเจอกัน ร่วมมือกันช่วยเหลือสนับสนุนกันและกัน เป็นต้นแบบเล็กๆ
ผู้นำ 1 คน จะจุดประกายอีก 10 คน สู่แรงกระเพื่อมใหญ่ได้ และเป็นผู้นำที่ลงมือทำ โดยมีแนวทางการปฏิบัติ (In Practices) เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ชุมชน และประเทศชาติ ภายใต้หลักสัมมาชีพ – ESG ยั่งยืน”
ขณะที่เรื่องของ ESG เป็นสิ่งที่ทั่วโลกเห็นว่าต้องเร่งดำเนินการ เพื่อแก้หายนะที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะหายนะจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่เกิดจากการเบียดเบียนสิ่งแวดล้อมทำให้โลกร้อน ย้อนกลับมากระทบผู้คนทั่วโลก หายนะในสังคมจากความเหลื่อมล้ำ ความยากจน และหายนะจากการคอรัปชั่นไม่โปร่งใสในภาคส่วนต่างๆ
จากปัญหาดังกล่าวทำให้ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหภาพยุโรป ออกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมาเป็นมาตรการกีดกันทางการค้า ผู้ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ย่อมสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 โดยผู้ส่งออกสินค้าที่ไม่ผ่านเกณฑ์สิ่งแวดล้อมจะต้องเสียภาษีเพิ่ม และในอนาคตจะมีมาตรการอื่นๆ ตามมาอย่างต่อเนื่องจากหลายประเทศ กระทบต่อทุกฝ่าย ตั้งแต่ ธุรกิจใหญ่ เอสเอ็มอีซึ่งเป็นซัพพลายเชนของธุรกิจใหญ่ ไปจนถึงเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ขณะที่ในประเทศไทย รัฐกำลังจะบังคับใช้ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ.โลกร้อน) ในเร็ววันนี้
ใครไม่ทำ ถือว่า ผิดกฎหมาย มีบทลงโทษ
ESG จึงไม่ใช่กระแส แต่คือ ความจำเป็น คือ ทางรอด คือ ภาคบังคับ ให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการ และเมื่อทำแล้วจะทำให้เกิด E อีกตัว คือ Economic (เศรษฐกิจ) ดีขึ้น
“โลกแห่งการลงทุนยุคใหม่ ไม่ใช่แค่เติบโต แต่ต้องเป็นธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ นักลงทุนจึงจะกล้าลงทุน สถาบันการเงินจึงจะกล้าปล่อยสินเชื่อ ทุกภาคส่วนจึงต้องใส่ใจเรื่อง ESG”
ถ้าไม่ทำ คือ ไม่รอด..! ประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ ทิ้งท้าย