skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
สัมมาชีพ เปิดอบรมหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่นที่ 15  ผนึกพลังผู้นำ “ภาคธุรกิจ-รัฐ-ชุมชน-ท้องถิ่น”  ชูแนวปฏิบัติ ESG สู่ธุรกิจเติบโตและยั่งยืน

สัมมาชีพ เปิดอบรมหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่นที่ 15 ผนึกพลังผู้นำ “ภาคธุรกิจ-รัฐ-ชุมชน-ท้องถิ่น” ชูแนวปฏิบัติ ESG สู่ธุรกิจเติบโตและยั่งยืน

“มูลนิธิสัมมาชีพ” เปิดอบรมหลักสูตร ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change – LFC) รุ่นที่ 15 คึกคัก ผู้บริหารธุรกิจ ภาครัฐ ชุมชน ท้องถิ่น เข้าร่วมอบรม ตั้งเป้านำองค์ความรู้ เชื่อมเครือข่าย สานต่องานยั่งยืนตามแนวทาง ESG “ประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ” ชี้ ESG ไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นทางรอดของธุรกิจทุกขนาด รวมถึงธุรกิจชุมชน ด้าน “ประธานสถาบันผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง” ระบุ ESG ไม่ใช่แนวโน้ม แต่เป็นเงื่อนไขใหม่ ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกติกาสากล เปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ในห่วงโซ่เศรษฐกิจระดับโลก

 

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์
ประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ กล่าวต้อนรับและเปิดอบรมหลักสูตร ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change- LFC) รุ่นที่ 15 ซึ่งดำเนินการโดยมูลนิธิสัมมาชีพ โดยระบุว่า การอบรมหลักสูตร LFC รุ่นที่ 15 อยู่ภายใต้แนวคิด “ESG in Practices: แนวปฏิบัติ ESG สู่ธุรกิจเติบโตและยั่งยืน” เนื่องจากการพัฒนาและการเติบโตขององค์กรในปัจจุบันไม่สามารถคำนึงถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาลที่ดี (Environmental, Social, Governance) หรือที่เรียกว่า ESG เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน

 

สาเหตุที่ ESG มีควา

มจำเป็นในยุคนี้ เนื่องจากในระดับโลก โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหภาพยุโรป ได้นำเรื่องของ ESG มากำหนดเป็นกติกาการค้าโลก มีผลให้ธุรกิจต่างๆ ต้องปฏิบัติตามหากไม่ต้องการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เช่น ที่ผ่านมาจะเห็นธุรกิจขนาดใหญ่เริ่มกำหนดให้ซัพพลายเออร์และคู่ค้าซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ต้องคำนึงถึงกติกาการค้าใหม่ ขณะที่ธุรกิจชุมชนท้องถิ่นที่อยู่ในห่วงโซ่ของธุรกิจขนาดใหญ่ ก็ต้องคำนึงถึงกติกาเหล่านี้เช่นกัน

นอกจากนี้ ในส่วนของประเทศไทย รัฐบาลกำลังจะบังคับใช้กฎหมายโลกร้อน หรือ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นฉบับแรกในเร็ววันนี้ ทำให้การดำเนินงานด้าน ESG กลายเป็นภาคบังคับที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ใช่ภาคสมัครใจอีกต่อไป ดังนั้น การดำเนินการด้าน ESG จึงเป็นไม่ใช่ทางเลือก แต่คือทางรอดของธุรกิจและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

ประการสำคัญ ประเด็นที่เกี่ยวกับการเงิน การลงทุน ทั้งนักลงทุน ตลอดจนสถาบันการเงินจะให้ความสำคัญกับ ESG เพราะเห็นว่า องค์กรที่มี ESG ดี จะมีความยั่งยืนและเติบโตได้ในระยะยาว ลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารจัดการภายใน ตลาดทุนไทยเองก็ปรับทิศทางการลงทุนโดยสนับสนุนธุรกิจที่มีแนวทาง ESG อย่างจริงจัง มีกองทุนเป็นแสนล้านที่จะลงทุนธุรกิจที่มี ESG ที่ดี และแนวโน้มในอนาคต ESG จะกลายเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นในการเข้าถึงเงินทุนจากสถาบันการเงินด้วย

ประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ ยังระบุว่า สัมมาชีพถือเป็นรากฐานของ ESG ในบริบทไทย เพราะหลักการของสัมมาชีพ คือ การประกอบอาชีพสุจริตโดยไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม และมีรายจ่ายน้อยกว่ารายได้ ซึ่งถือเป็นหลักการเดียวกับ ESG การประกอบการที่มีสัมมาชีพ จึงถือเป็นหลักการที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่ดีต่อธุรกิจ หรือดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ดีต่อคนทุกคนที่อยู่ร่วมกันด้วย

“ESG เป็นเรื่องที่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นเอสเอ็มอี ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ภาครัฐ ภาคสถาบันการเงิน ภาคประชาสังคม ล้วนมีเรื่องของ ESG เข้ามาเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งต้องผ่านเกณฑ์ด้าน ESG จึงจะไปต่อได้

    

ขอให้ท่านนำความรู้ที่ได้รับจากการอบรมหลักสูตรนี้ ภายใต้ธีม ESG in Practices: แนวปฏิบัติ ESG สู่ธุรกิจเติบโตและยั่งยืน ไปต่อยอดอย่างจริงจัง  เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ให้พวกท่านกลับไปเป็นผู้นำ -นำการเปลี่ยนแปลงในสังคม ชุมชนที่ท่านสังกัด” นายประเสริฐ กล่าว

นายวิเชฐ ตันติวานิช ประธานกรรมการสถาบันผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง

ด้านนายวิเชฐ ตันติวานิช ประธานกรรมการสถาบันผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การอบรมหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change- LFC) รุ่นที่ 15 ว่า หลักสูตรดังกล่าวนี้ได้จัดมาอย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ละปีจะกำหนดแนวคิดการอบรมไปตามบริบทของสังคมในขณะนั้น ซึ่งในปีนี้อยู่ภายใต้แนวคิด “ESG in Practices: แนวปฏิบัติ ESG สู่ธุรกิจเติบโตและยั่งยืน” เพราะ ESG ถือเป็นเงื่อนไขใหม่ ที่ไม่ว่าภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกติกาสากล เพื่อเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ในห่วงโซ่เศรษฐกิจระดับโลก ที่ต้องมีแนวปฏิบัติสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน

ดังนั้น วัตถุประสงค์ของหลักสูตรนี้จึงมีขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจและการตระหนักถึงความสำคัญในการทำธุรกิจที่ยั่งยืน โดยเฉพาะประเด็นสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) ในภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม ภาคชุมชน การนำแนวปฏิบัติด้าน ESG ให้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางธุรกิจ กลยุทธ์ขององค์กร เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน  ร่วมลดผลกระทบจากประเด็นปัญหาวิกฤติโลกร้อน เพื่อสร้างความร่วมมือขององค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคการศึกษา ท้องถิ่นและชุมชน ในการร่วมขับเคลื่อนด้าน ESG และเพื่อนำสู่การพัฒนาธุรกิจ ชุมชน สังคม ที่ยั่งยืน

 

 


บรรยากาศ

  

Back To Top