skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
สูตร (ไม่) ลับ ขับเคลื่อนสังคมแห่งความร่วมมือ

สูตร (ไม่) ลับ ขับเคลื่อนสังคมแห่งความร่วมมือ

งานที่ว่ายาก โหด หิน หากหลายฝ่ายได้ร่วมมือกัน ย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จได้

นี่เป็นสิ่งที่หลายคนย่อมรู้ แต่จะ “สร้างสังคมแห่งความร่วมมือ” ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร การอบรมหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change-LFC) รุ่นที่ 14 ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิสัมมาชีพ มีคำตอบให้ใน Module2 ‘Leadership for Social Collaboration’

 

ระเบิดจากภายใน: สร้างชุมชนเข้มแข็ง

เปิดด้วยภาพใหญ่ กับการปาฐกถาพิเศษ “สานพลัง สร้างชุมชนเข้มแข็ง เศรษฐกิจไทยแข็งแรง” โดย เอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ ความร่วมมือในมุมมองของเขา จะต้องเป็นลักษณะการ “สานพลัง” ที่แนบแน่น

หรือความร่วมมือที่ลึกซึ้งกว่าความร่วมมือแบบธรรมดา

เปรียบเหมือนการทอผ้าที่ต้องมีทั้งเส้นตั้งและเส้นนอน จึงทำให้เกิด “พลังที่แข็งแกร่งแนบแน่น” จากความร่วมมือของชุมชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง

ขณะที่การสร้างชุมชนเข้มแข็ง เป็นอีกความสำคัญ เพราะหากชุมชนใดเข้มแข็ง ย่อมนำมาซึ่งการกินดีอยู่ดี มีความสุข มีสัมมาชีพ ของคนในชุมชน ทำให้เศรษฐกิจฐานรากแข็งแรง ส่งต่อสู่การเติบโตเศรษฐกิจประเทศในที่สุด

จากประสบการณ์ทำงานกับชุมชนมากว่า 40 ปี โดยเฉพาะช่วงที่เป็นอดีตผู้บริหารธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เอ็นนู ถอดสูตรการสานพลังสร้างชุมชนเข็มแข็งว่า จะต้องเข้าไปเปลี่ยน mindset ของคนในชุมชนให้อยากแก้ไขปัญหา และขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง

เป็นการ “ระเบิดจากภายใน” ซึ่งจะสร้างการมีส่วนร่วมได้มากที่สุด โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลืออยู่ในฐานะ “พี่เลี้ยง” ไม่ให้ชุมชนทำไปโดยโดดเดี่ยว

“คนส่วนมากมักใจร้อน อยากไปเร็วไปไว ขณะที่การเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา ชุมชนต้องมีส่วนร่วม และมีความเป็นเจ้าของ ไม่มีใครเปลี่ยนใครได้ ถ้าเจ้าตัวไม่อยากเปลี่ยน เราต้องเข้าไปทำให้ชุมชนเกิดความเชื่อมั่น และพร้อมที่จะสู้ ที่สำคัญอย่าคิดคนเดียว การสานพลังจึงสำคัญมากที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ไม่มีใครทำอะไรแล้วไม่เกิดปัญหา แต่คนที่จะสำเร็จได้คือคนที่ไม่ยอมแพ้” เอ็นนู ให้แง่คิด

ชูศาสตร์ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” แก้ปัญหาชุมชน

เมื่อชุมชนรู้สึกอยากมีส่วนร่วมแก้ปัญหาของตัวเอง  ถัดไป คือการนำแนวทางการพัฒนาที่ถูกต้อง เข้าไปบอกเล่ากับชุมชน ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง, เกษตรทฤษฎีใหม่ ในหลวง ร.9  และการคิดแก้ปัญหาให้ครบทั้งมิติเศรษฐกิจ – สังคม-โครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งแวดล้อม หากคิดแยกส่วนอาจจะเกิดปัญหาอื่นตามมาในภายหลัง

“ในหลวง ร.9 ท่านทรงงานเพื่อประชาชนมานาน 70 ปีที่ทรงครองราชย์ ท่านรู้ปัญหาและหาทางแก้ ดังนั้นปรัชญาในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ท่านคิด ได้แก่ ความพอประมาณ การมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดี สามารถนำมาปรับใช้ได้ทุกบริบทพื้นที่

ปัญหาชุมชนไทยยังเหมือนเดิม คือความยากจน ความเหลื่อมล้ำ การจ้างงานจำกัด การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัญหาที่สะท้อนว่าทุนทางสังคมไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ซึ่งจริงๆ แล้ว ทุนทางสังคม ต้องพัฒนาก่อนทุนทางเศรษฐกิจ เพราะถ้าทุนทางสังคมดี จะทำให้ทุนทางเศรษฐกิจดี สิ่งแวดล้อมก็จะดีตาม”

“สอนให้จับปลาเป็น” :  แนวคิดพัฒนาชุมชน “ไทยเบฟ”

จากภาพใหญ่มาสู่ “กรณีศึกษา” ในการขับเคลื่อนความเข้มแข็งชุมชนขององค์กรขนาดใหญ่อย่าง ไทยเบฟ “ต้องใจ ธนะชานันท์” รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กรรมการผู้จัดการและกรรมการบริหารบริษัทซี.เอ.ไอ. (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด หรือ C asean  ปาฐกถาพิเศษ “Thaibev  Sustainability: Enabling Growth” ระบุถึงแนวคิดในการสร้างชุมชนเข้มแข็งของไทยเบฟ คือการ “สอนให้จับปลาเป็น” ด้วยการกระตุ้นให้ชุมชนอยากพัฒนาตนเอง ผ่านการสร้างเครือข่ายแพลตฟอร์ม โดยไทยเบฟเข้าไปสนับสนุนการทำงานต่อเนื่อง พร้อมกับการสร้าง “กลไก” การเติบโตที่ยั่งยืน

 

ทั้งนี้ มิติการสร้างความยั่งยืนของไทยเบฟ ประกอบด้วย 3 มิติ คือ เน้นดูแลสิ่งแวดล้อม ใส่ใจสังคม และมีธรรมาภิบาล (ESG) โดยจะดำเนินการทั้งในส่วนของไทยเบฟและเครือข่ายของไทยเบฟทั้งกลุ่มธุรกิจ และภาคสังคม

มิติแรก  คือ การดำเนินงานด้านลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มิติที่สอง คือ การทำงานร่วมกับเครือข่ายธุรกิจ ซัพพลายเชน และมิติที่สาม คือการทำงานร่วมกับสาธารณชนนอกเหนือจากเครือข่ายทางธุรกิจ เช่น เครือข่ายทางสังคม เยาวชน เป็นต้น ขณะที่ C asean จะมีกรอบการทำงานพัฒนาสังคมใน 6 เรื่อง ได้แก่ การศึกษา สุขภาพ กีฬา ศิลปวัฒนธรรม การพัฒนาชุมชน และเรื่องความยั่งยืน

ในมิติแรก ไทยเบฟได้วางเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ตั้งเป้าคืนน้ำสู่ธรรมชาติ 100% ของปริมาณการใช้น้ำเพื่อการผลิตสินค้า ภายในปี 2040 นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการสร้างผลกระทบที่ดีต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านโครงการต่างๆ ไปพร้อมกับการดูแลพนักงาน และเพิ่มสัดส่วนการผลิตสินค้าที่ดีต่อสุขภาพ เป็นต้น

ในมิติที่สอง ซัพพลายเออร์ถือเป็นพันธมิตรสำคัญของไทยเบฟ ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 2,000 บริษัท และจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยเช่นกัน จึงได้จัดตั้งเป็น “ไทยแลนด์ซัพพลายเชน” เพื่อบริหารจัดการซัพพลายเชนสีเขียว การรักษาทรัพยากรธรรมชาติ น้ำ ป่า ในซัพพลายเออร์ทุกระดับ รายใหญ่ เอสเอ็มอี รวมถึงเกษตรกร

ในส่วนของการบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์ ไทยเบฟมียูนิตที่เรียกว่า ไทยเบฟเวอเรจรีไซเคิล โดยมีจุดรับซื้อบรรจุภัณฑ์จากซาเล้ง 50 กว่าจุดทั่วประเทศ รับซื้อทั้งขวด กระดาษ แก้ว กระป๋อง อลูมิเนียม แล้วคัดแยกนำมารีไซเคิล โดยดำเนินการมากว่า 40 ปีแล้ว  มีส่วนทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างทำโครงการเกาะไร้ขยะ เริ่มต้นที่เกาะสีชัง เพื่อกำจัดขยะทะเลที่น้ำซัดมา รวมถึงการจัดการขยะอินทรีย์ ซึ่งจะเห็นผลชัดเจนใน 4-5 ปีจากนี้ รวมไปถึงการส่งเสริมปลูกป่าโกงกาง และฟื้นฟูป่าชุมชน  เพื่อให้ต้นไม้เก็บกักคาร์บอน เป็นต้น

ชู “พลังเครือข่าย” ความร่วมมือ สร้างความยั่งยืน

ส่วนการทำงานร่วมกับสาธารณชนนอกเหนือจากเครือข่ายทางธุรกิจ ในมิติที่สามนั้น ต้องใจระบุว่า ไทยเบฟได้เข้าไปทำโครงการประชารัฐรักสามัคคี โดยทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และการพัฒนาชุมชน โดยมีเป้าหมายเข้าไปพัฒนาชุมชนในทุกจังหวัด ผ่าน “กลไกวิสาหกิจชุมชน” เพื่อให้เกิดความยั่งยืน

นอกจากนี้ ยังมีโครงการชุมชนดีมีรอยยิ้ม สร้างเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ดำเนินการในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) และเข้าไปสนับสนุนด้านกีฬา ศิลปวัฒนธรรม รวมไปถึงการจัดมหกรรมด้านความยั่งยืนใหญ่ที่สุดในอาเซียน (Sustainability Expo) ทุกปี เพื่อสื่อสารให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อม สร้างความยั่งยืนให้กับโลก เป็นต้น

“การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องของทุกคน ทุกภาคส่วน โจทย์คือการสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกัน เดินคนเดียวอาจจะเดินไว แต่ถ้าอยากเดินให้ไกล ต้องไปด้วยกัน”

จะเชื่อมใจคนทำงาน ต้องหา “ต่อมความสุข” ให้เจอ

ในส่วนของการลงมือปฏิบัติจริง จะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความร่วมมือนั้น “กฤษณ์ รุยาพร” CEO Asia Pacific Innovation Center และ Co-Founder University of Happiness  ซึ่งบรรยายในหัวข้อ Leadership for Social Collaboration ระบุว่า ผู้นำจำเป็นต้องหา “ต่อมความสุข” ที่แตกต่างกันของคนในทีม หรือภาคส่วนที่เข้าไปแสวงหาความร่วมมือให้เจอ เช่น

สุขจากการคิดสร้างสรรค์

สุขจากการเป็นนักวิเคราะห์

สุขจากการเป็นนักคิด

สุขจากการเป็นนักวางแผน

หรือสุขจากการเป็นนักประสานใจ

จากนั้นจึงผสานความสุขที่แตกต่างกัน มาแสวงหาความร่วมมือที่ลงตัว สร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นได้จริง

 

“สิ่งที่ผู้นำต้องรู้ คือ รู้ใจเพื่อนร่วมทีมว่าสุขกันแบบไหน บางคนถนัดทำเรื่องนี้ แต่ทำแล้วไม่มีความสุข แบบนี้ก็ไม่ใช่ ขณะเดียวกันตัวผู้นำเอง ต้องเป็นคนที่มีความสุข ถ้าผู้นำมีความทุกข์ย่อมไม่มีใครอยากเดินตาม อยากเป็นลูกทีม”  กฤษณ์ ระบุ

ดังนั้นการหาทีมงานที่ใช่ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ทว่าบางครั้งผู้นำอาจไม่สามารถจัดหาทีมในฝันดังกล่าวได้  “การเติมส่วนขาด” ด้วยการ “Outsource” บุคคลหรือองค์กรจากภายนอกให้มาทำงานแทน จึงเป็นอีกทางเลือกที่จะลดแรงปะทะ  ลดความเครียดของคนในทีมลง

“การที่เราทำสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา ย่อมทำให้ความยั่งยืนน้อยลง เพราะเป็นดินแดนที่ไม่ใช่คอมฟอร์ทโซน เราต้องรู้ต่อมเครียดของเราและของทีมว่าอยู่ตรงไหน การ Put the right man in the right heart  การผสมคนทำงานให้ถูกที่ ถูกทาง จึงจำเป็นสำหรับการสร้างความสำเร็จ

 โดยเฉพาะการทำงานเพื่อสังคม เพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น เรื่อง BCG ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ถ้าเราไม่เข้าใจว่าความสุขของแต่ละภาคส่วนคืออะไร ก็ยากที่จะสื่อสารกันเข้าใจ ยากที่จะทำให้ความร่วมมือสำเร็จได้”  

ทั้งหมดนี้คือการถอดสูตรความสำเร็จ สร้างสังคมแห่งความร่วมมือให้เกิดขึ้นได้จริง ซึ่งต้องมีทั้ง การ “เชื่อมศาสตร์การพัฒนาที่ใช่” “เชื่อมเครือข่ายความร่วมมือ” และ “เชื่อมใจ” ของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

 


Back To Top