skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
Green Economy ปรับธุรกิจให้ยั่งยืน ยุคโลว์คาร์บอน

Green Economy ปรับธุรกิจให้ยั่งยืน ยุคโลว์คาร์บอน

เศรษฐกิจสีเขียว ถือเป็นทางรอด ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป ดังนั้น การอบรมผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership For Change – LFC) รุ่นที่ 14 ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิสัมมาชีพ จึงได้จัดบรรยายในหัวข้อ Green Economy : ธุรกิจยั่งยืนยุคโลว์คาร์บอน เพื่อให้ข้อมูลถึงแนวทางปรับตัวสู่ธุรกิจสีเขียว ทั้งยังเป็นอีกมิติเศรษฐกิจของโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG Economy

 

การที่นานาประเทศต่างออกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมาหลายด้าน เพื่อร่วมลดผลกระทบจากโลกร้อน ทำให้ธุรกิจไทย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นซัพพลายเชนให้กับบริษัทขนาดใหญ่ในไทยหรือให้กับบริษัทต่างชาติ ต้องเร่งปรับตัวขนานใหญ่

เพราะผลกระทบของมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม จะถูก “ส่งผ่าน” มาเป็นลูกโซ่ จากบริษัทใหญ่สู่บริษัทเล็กที่เป็นซัพพลายเชน

ธุรกิจสีเขียว ทางรอด ไม่ใช่ทางเลือก

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ซึ่งปาฐกถาในหัวข้อ EXIM Bank : Green Development ร่วมสร้างความยั่งยืน กล่าวว่า การปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว โดยนำเรื่องของ ESG หรือการใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และมีความโปร่งใสในการดำเนินกิจการ ถือเป็นทางรอด ไม่ใช่ทางเลือกโดยเฉพาะผู้ส่งออก เนื่องจากประเทศคู่ค้าในต่างประเทศกำลังทยอยออกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อกีดกันสินค้าที่ไม่ช่วยดูแลโลก

ดังนั้นธุรกิจจึงต้องปรับตัวสู่การเป็นผู้ส่งออกสีเขียว (Green Export)

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร
กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) 

“นานาประเทศ ได้ออกมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมากีดกันทางการค้า แล้ว 18,000 ฉบับ ทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนดำเนินการเพิ่มขึ้นถ้าไม่ปรับตัว สินค้าที่เราส่งออกไป จะมีราคาแพงกว่าคู่แข่งราว 30%

และในปัจจุบันผู้ส่งออกไทยที่เป็น Green Export หรือผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีสัดส่วนน้อยมาก ต่ำที่สุดในอาเซียน” ดร.รักษ์กล่าว

เขายังเปรียบเปรยว่า สินค้าและบริการในยุคนี้จะแข่งขันได้ ต้องมีมาตรฐานด้านความยั่งยืนที่ดี ทำให้บริษัทต่างแข่งกันทำความดีให้ได้มาตรฐานด้านความยั่งยืน ไม่ได้ขายสินค้าโดยคำนึงความน่าสงสาร อยากช่วยเหลืออีกต่อไป

ส่วน “กระบวนการ” ปรับตัวสู่ธุรกิจสีเขียวนั้น ดร.รักษ์ แนะว่า ต้องเริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดเป็นเชื้อเพลิง เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การผลิตสินค้าต้องคำนึงถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นสินค้ารักษ์โลก ตามมาด้วยการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ ซึ่งจะทำให้เข้าถึงตลาดได้มากขึ้น และสินค้า Go Green จะทำกำไรได้มากกว่าสินค้าปกติ 2.5 เท่า

 

กรณีศึกษา “บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก” ธุรกิจมาแรง

สอดคล้องโมเดลเศรษฐกิจ BCG

ด้าน นพ.วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม เจ้าของแบรนด์บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก Gracz บรรยายในหัวข้อ “นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ธรรมชาติ รักษ์สุขภาพ รักษ์โลก” โดยย้ำว่า บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะตลาดในต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทฯ ส่งออกไปใน 33 ประเทศ และทั่วโลกใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ในสัดส่วนเพียง 6% จึงเป็นโอกาสในการทำตลาดนี้

นพ.วีรฉัตร กิตติรัตนไพบูลย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับคุณสมบัติของบรรจุภัณฑ์ที่บริษัทผลิตขึ้น ทำจากเยื่อพืชจากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ชานอ้อย เยื่อปาล์ม ผักตบชวา ฟางข้าว รวมไปถึงเปลือกทุเรียน ซึ่งแทนที่จะนำไปเผาสร้างปัญหาฝุ่น PM 2.5 ก็นำมาผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ ทำให้ชุมชนในภาคเกษตรมีรายได้เสริม ไม่มีสารก่อมะเร็งและไมโครพลาสติกเหมือนบรรจุภัณฑ์พลาสติกและโฟม ทั้งยังย่อยสลายได้ ตอบโจทย์ความเป็นบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก

เป็นทั้งเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG

“ทั่วโลกเฉลี่ยใช้พลาสติกและโฟมคนละ 1.8 ชิ้นต่อวัน ขณะที่ไทย เฉลี่ยใช้พลาสติกและโฟม คนละ 2.3 ชิ้นต่อวัน กลายเป็นขยะพลาสติกวันละ 150 ล้านชิ้น เท่ากับคอนโดนิเนียม 10 ชั้น เราสร้างขยะมหาศาลต่อวัน แถมยังเป็นขยะพิษจากปิโตรเลียม ย่อยสลายยาก โดยพลาสติกใช้เวลาย่อยสลาย 450 ปี และโฟมใช้เวลาย่อยสลายกว่าพันปี

เมื่อย่อยสลายยาก ขยะพลาสติกเหล่านี้จะไปรวมอยู่ในท้องทะเล เมื่อสัตว์ทะเลกิน จะสะสมไมโครพลาสติกจากสัตว์น้ำสู่คนที่นำสัตว์น้ำมาบริโภค ขณะที่การทานอาหารจากกล่องโฟมนานติดต่อกัน 10 ปี จะทำให้เกิดมะเร็งมากกว่าคนปกติ 6 เท่า และเมื่อสารก่อมะเร็งเข้าไปอยู่ในอาหารไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือเย็น สารก่อมะเร็งก็ยังขยายตัวได้ และจะขยายตัวได้ดีในอาหารรสเปรี้ยว”

นพ.วีรฉัตร ยังให้ข้อคิดว่า ก่อนการมาถึงของพลาสติก มนุษย์ยังสามารถอยู่บนโลกได้ ดังนั้นการลดการใช้พลาสติกและโฟมจึงสามารถทำได้

ขณะเดียวกัน การมาถึงของพลาสติกยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสิ่งแวดล้อม สร้างขยะ ทำให้โลกร้อน ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ  หากยังทิ้งขยะพลาสติกและโฟมต่อไปอีก 20 ปี ผลศึกษาพบว่า ขยะในทะเลจะมีมากกว่าพื้นดิน

 

คาร์บอนเครดิต ธุรกิจกู้โลกร้อน

มาถึงอีกธุรกิจที่ตอบโจทย์ภาคเอกชนในการรับมือโลกร้อน กับธุรกิจคาร์บอนเครดิต ผ่านคำบอกเล่าของ เจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเวฟ บีซีจี จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านคาร์บอนเครดิตครบวงจร ทั้งการพัฒนาโครงการคาร์บอนเดรดิต การจัดการเครดิตคาร์บอน และซื้อขายคาร์บอนเครดิตในเอเชีย เจมส์ซึ่งบรรยายในหัวข้อ “คาร์บอนเครดิต ธุรกิจกู้โลกร้อน” ระบุว่า แม้ไทยจะไม่ได้เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 20 แต่ในแง่ผลกระทบจากโลกร้อนพบว่าไทยติดอันดับ 9 เนื่องจากมีลักษณะทางภูมิศาสตร์อยู่ในโซนเขตร้อนและคนส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม

เจมส์ แอนดริว มอร์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเวฟ บีซีจี จำกัด

ดังนั้นการแปรปรวนจากสภาพอากาศ จึงกระทบต่อการทำเกษตรกรรมอย่างยากจะหลีกเลี่ยง

ขณะที่การจัดการภาวะเรือนกระจกของไทยพบว่ายังอยู่ในเทียร์ 3 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เพียงพอจะรับมือกับปัญหา และหากธุรกิจไม่ปรับตัวจะทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายสินค้าหรือโซลูชั่น รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงิน เป็นผลจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมในด้านต่างๆ จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการสร้างความเป็นกลางด้านคาร์บอน (Carbon neutrality) และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)

ทั้งนี้ ธุรกิจคาร์บอนเครดิต จะเข้าไปมีส่วนเสริมศักยภาพของภาคธุรกิจในการดำเนินมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต หรือการซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชย (Offset) เพื่อให้เกิดความสมดุลกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สร้างความเป็นกลางด้านคาร์บอน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่นานาประเทศกำหนด

“แม้ว่าในขณะนี้ตลาดคาร์บอนเครดิตของไทย จะเป็นภาคสมัครใจ ยังไม่เป็นภาคบังคับ แต่ในอนาคตเห็นว่าไทยจะต้องเผชิญแรงกดดันให้ต้องทำเรื่องคาร์บอนเครดิต หรือทำให้ธุรกิจตัวเองเป็นสีเขียว เพื่อให้เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคและเข้าถึงสินเชื่อได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่าธุรกิจทั่วไป”

นอกจากนี้ในภาพรวมการพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต ยังช่วยลดโลกร้อน สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ ช่วยให้ระบบนิเวศให้ดีขึ้น และยังทำให้ผู้พัฒนาโครงการ ซึ่งอาจเป็นคนในชุมชน เกษตรกร หรือผู้ที่มีที่ดินเพื่อปลูกป่า มีรายได้เสริมจากการขายคาร์บอนเครดิต ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

“การจะพัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิต จะต้องประเมินความเสี่ยง และความคุ้มค่าในการลงทุน เนื่องจากขณะนี้ยังมีต้นทุนค่อนข้างสูง โดยผู้พัฒนาโครงการจะต้องมีพื้นที่ 500-1,000 ไร่ จึงจะคุ้มค่ากับการลงทุน

ทั้งหมดนี้ คือ การเติมองค์ความรู้ให้กับเหล่าผู้อบรมหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง ถึงทางรอดและโอกาสของธุรกิจไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว และเศรษฐกิจสีเขียว


Back To Top