เปิดแนวคิด “สัมมาชีพเต็มพื้นที่” ทำสังคมให้ดี แล้วเศรษฐกิจจะดีตาม
เป้าหมายการยกระดับสังคม พัฒนาประเทศ สู่การกินดีอยู่ดี ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ต้องเริ่มที่การพัฒนาเศรษฐกิจ หรือ พัฒนาสังคมก่อน ?
“เอ็นนู ซื่อสุวรรณ” รองประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ ปาฐกถาพิเศษ 15 ปี สัมมาชีพ : ร่วมสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ ระบุว่า ตามแนวทางสัมมาชีพ ที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสัมมาชีพ กล่าวไว้คือ ต้องพัฒนาสังคมก่อน เพราะถ้าสังคมดี คนในสังคมจะมีความสุข เศรษฐกิจก็จะดีตามมา หากไปพัฒนาเศรษฐกิจที่มีขึ้นมีลงก่อน ย่อมไม่อาจทำให้คนในสังคมกินดีอยู่ดี มีความสุขได้
ขณะที่ “กลไกขับเคลื่อนสัมมาชีพ” เพื่อนำไปสู่การสร้างความสุขให้คนในสังคมให้ขยายวงกว้างออกไป หรือเรียกว่าเป็น “สัมมาชีพเต็มพื้นที่” หลักใหญ่คือ การ “บูรณาการความร่วมมือ” ของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้แก่ รัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อขยายความคิด ขยายการดำเนินงานเป็นองค์รวม
เมื่อเกิดความสำเร็จพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือมีสัมมาชีพ จะกลายเป็น “ต้นแบบ” ที่จะถูกขยายผลออกไปในพื้นที่อื่นๆตามมา
*15 ปีมูลนิธิสัมมาชีพ โซ่ข้อกลาง
เฟ้นต้นแบบสัมมาชีพ ทำให้คนดีมาจับมือกัน
“เอ็นนู” ระบุว่า 15 ปีของการก่อตั้งมูลนิธิสัมมาชีพ ได้เกิดต้นแบบสัมมาชีพมากมาย ทั้งบุคคลต้นแบบสัมมาชีพ วิสาหกิจชุมชนต้นแบบสัมมาชีพ เอสเอ็มอีต้นแบบสัมมาชีพ และปราชญ์ชาวบ้านต้นแบบสัมมาชีพ ซึ่งมูลนิธิสัมมาชีพได้มอบรางวัลเชิดชูเกียรติบุคคลเหล่านี้ต่อเนื่อง ภายใต้แนวทางทำให้ “คนดีมาจับมือกัน” เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาด้านความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของสังคมไทย สู่การกินดีอยู่ดีดังกล่าว
*สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา
เริ่มต้นที่สร้างฐานความรู้
ความร่วมมือแก้ไขปัญหาที่ยาก ท้าทายได้นั้น ต้องอาศัยยุทธศาสตร์ “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” ประกอบด้วย ฐานความรู้ที่แข็งแกร่ง การสร้างความเคลื่อนไหวทางสังคมที่ดี และการใช้อำนาจทางการเมืองในการสร้างความเปลี่ยนแปลง โดยจะต้องเริ่มที่ “ฐานความรู้” ก่อนเป็นอันดับแรก
“สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ต้องเริ่มจาก ฐานความรู้ที่ดีขับเคลื่อนสังคม ทำให้สังคมยอมรับ เมื่อสังคมยอมรับแล้ว จึงเสนอนโยบายได้ อย่าเริ่มแก้จากนโยบาย เพราะถ้าคนไม่ยอมรับนโยบายนั้นก็จะไม่นำไปสู่การแก้ปัญหาสังคม” เอ็นนู กล่าว
**ต้องย่อยความรู้ยากๆ
เป็นภาษาชาวบ้าน ให้คนฐานรากเท่าทันปัญหา
ในปัจจุบันการเข้าถึงความรู้สำหรับคนชนบทยังเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยาก จึงจำเป็นต้อง “ย่อยความรู้” ในหลักการยากๆ เป็นภาษาชาวบ้าน ให้คนทั่วไปเข้าใจได้ในวงกว้าง เพราะหากความรู้อยู่เฉพาะคนข้างบน อาทิ ผู้ระดับผู้ขับเคลื่อนนโยบาย นักวิชาการ ก็จะไปไม่รอด
“เช่น ล่าสุด สภาพัฒน์จัดงานประจำปี หยิบยกปัญหาภูมิรัฐศาสตร์มาพูด ซึ่งกำลังจะเป็นสึนามิถล่มประเทศไทย ทำให้เกิดปัญหาตามมาอีก 3-4 เรื่อง คือ การค้า เทคโนโลยี พลังงาน ความมั่นคงทางอาหาร
เรื่องเหล่านี้พูดคุยกันในระดับสูง แต่คนกลางๆ ล่างๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือแม้แต่เรื่อง พ.ร.บ.อากาศสะอาด เรื่อง ESG ผลกระทบโลกร้อน ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เรื่องเหล่านี้คนฐานรากซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เกษตรกรต้องรู้
ถ้าไม่ดูแลให้ดี ไม่รู้เท่าทันจะลำบากมาก ต้องเอาความรู้ที่อยู่บนหิ้ง ลงมาข้างล่างให้ได้ เพื่อให้คนฐานรากตระหนัก สร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกร” เอ็นนู กล่าว
*สัมมาชีพ ต้นแบบความสำเร็จ
พึ่งพาตัวเองเป็นหลัก
ขณะที่ “ดร.สุนทร คุณชัยมัง” ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนานวัตกรรมสังคม วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวในการบรรยาย “Storytelling “ผลิตภัณฑ์อินทรีย์ การตลาดสีเขียว : ความสำเร็จที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจ-ชุมชน- สิ่งแวดล้อม” ว่า การสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ โดยมูลนิธิสัมมาชีพได้สร้างต้นแบบสัมมาชีพ จากรางวัลที่มอบให้บุคคล ปราชญ์ชาวบ้าน วิสาหกิจชุมชน องค์กรต่างๆ นับรวมกันราว 70 รางวัลนั้น ล้วนสะท้อนถึงความสำเร็จของการแก้ปัญหาสังคม ผ่านการคิด (Design Thinking) โดยลดการพึ่งพารัฐ ถือเป็นต้นแบบความสำเร็จที่ขับเคลื่อนไปได้ด้วยตัวเอง
อาทิ บริษัทสไมล์ฟาร์ม ฟู้ด แอนด์ เซอร์วิส จำกัด ซึ่งได้รับรางวัลเอสเอ็มอีต้นแบบสัมมาชีพ ปี 2566 กับการนำถั่วเขียวมาแปรรูปเป็นเฟรนช์ฟรายส์ ต่อยอดสินค้าเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ดูแลสุขภาพผู้บริโภค สอดคล้องเทรนด์โลก และบริษัทสตาร์ทอัพ Happy Grocers ที่ลดการสูญเสียอาหาร (Food waste) ด้วยการนำผักอินทรีย์เกรดรอง แต่ยังมีคุณภาพดี มาจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ จากแนวคิดแรกเริ่มที่จะช่วยเกษตรกรจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ในช่วงล็อกดาวน์ที่เกิดโควิด 19 เป็นต้น
*Story Telling เคลื่อนตลาดสีเขียว
เฟรนช์ฟรายส์ถั่วเขียว กับ 4 แกนสำเร็จ

คุณทรรศิน อินทานนท์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สไมล์ฟาร์ม ฟู้ด แอนด์ เซอร์วิส จำกัด
“ทรรศิน อินทานนท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สไมล์ฟาร์ม ฟู้ด แอนด์ เซอร์วิส จำกัด ผู้ได้รับรางวัลเอสเอ็มอีต้นแบบสัมมาชีพประจำปี 2566 กล่าวว่า ธุรกิจแปรรูปถั่วเขียวเป็นเฟรนช์ฟรายส์เริ่มจากความฝัน ที่อยากจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรในประเทศไทย อีกทั้งเรียนมาทางด้านเทคโนโลยีการเกษตร โดยใช้เวลามุ่งมั่นพัฒนาสินค้านานถึง 3 ปีกว่าจะตกผลึกเป็นสินค้าดังกล่าว และมองตลาดไปไกลถึงต่างประเทศ
“แพสชั่นผมชอบกินเฟรนช์ฟรายส์ แต่มาคิดว่า ทำไมต้องเป็นมันฝรั่ง อาหารทางเลือกมีมากมาย ตอนนั้นตลาดเฟรนช์ฟรายส์ในไทยมูลค่าตลาดรวมกว่าหมื่นล้านบาท แต่ไม่มีบริษัทเอสเอ็มอีไทยรายใดแย่งส่วนแบ่งตลาดจากแบรนด์ต่างชาติได้เลย จึงต้องการสร้าง S-curve ใหม่ ส่วนที่เลือกเป็นถั่วเขียว เพราะเป็นถั่วที่นำไปแปรรูปน้อยมาก ขณะที่มีคุณค่าทางอาหาร ถั่วเขียวถือว่าเป็นถั่วที่มีไขมันต่ำที่สุดในโลก ดีต่อสุขภาพ ปัจจุบันเริ่มส่งออกไปขายต่างประเทศ ในยุโรป มีหน้าร้านในไทย 5 สาขา เราเป็นเฟรนช์ฟรายส์ไม่กี่แบรนด์ ที่ระบุคุณค่าทางโภชนาการไว้หลังบรรจุภัณฑ์”
“ทรรศิน” ยังกล่าวถึงแกนความสำเร็จของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวว่า ได้แก่ เกษตรอินทรีย์ เศรษฐกิจ ชุมชน และครอบครัว ซึ่งเป็น Storytelling สำคัญ
“ผู้ซื้อจะให้ความสำคัญกับวัตถุดิบเป็นอย่างมากว่า มาจากไหน คุณภาพเป็นอย่างไร ปลอดสารไหม ปลูกที่ไหน ถั่วเขียวปลอดสารเคมีหรือไม่ โดยเราเลือกใช้ถั่วเขียวอินทรีย์ ขณะที่แกนที่สองเมื่อวัตถุดิบเราเป็นเกษตรอินทรีย์ทำให้ได้รับการตอบรับจากตลาด เคลื่อนแกนเศรษฐกิจ ทำให้ยอดขายโตขึ้นเรื่อยๆ แกนที่สามคือชุมชน พนักงานหน้าร้าน และโรงงาน จะใช้คนไทย 100% เป็นการสนับสนุนคนในชุมชนใกล้โรงงาน แกนสุดท้ายคือครอบครัว เมื่อเราใช้พนักงานที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงาน ทำให้พนักงานได้อยู่กับครอบครัว อย่างมีความสุข”
*เรื่องเล่าผักอินทรีย์ ฟังเสียงเกษตรกร
ให้ความรู้ สังเกตความต้องการลูกค้า
ด้าน “ปัทมาภรณ์ ดำนุ้ย” ผู้ร่วมก่อตั้งสตาร์ทอัพ Happy Grocers กล่าวว่า ธุรกิจขายผักอินทรีย์ผ่านช่องทางออนไลน์เริ่มต้นภายใน 1 วัน เพราะในช่วงโควิด 19 มีเกษตรกรรายหนึ่งบอกว่า ต่อให้สินค้าดีแค่ไหน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์โควิดช่วงล็อคดาวน์ก็ยากจะทำการตลาดได้ ทำให้เกิดความคิดจะช่วยเกษตรกรขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เริ่มจากการขายผ่านเฟซบุ๊ค กินผักอินทรีย์ช่วยโลก ดีต่อดิน ดีต่อโลก กลายเป็นคอมมูนิตี้ที่ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าไปพร้อมกับการให้ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์
“เราเป็นเหมือนสะพานเชื่อมเกษตรกร ช่วยทำตลาด 4 ปี ได้ออเดอร์ 4 แสนออเดอร์ ต้องเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว ฟังเสียงเกษตรกร สังเกตลูกค้า ดูว่าทรัพยากรเรามีเท่าไหร่
สินค้าที่เราขายคือ ผักอินทรีย์ที่เกรดไม่สวยงาม แต่ยังมีคุณภาพดี โดยขายในราคาถูกลง ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงราคาที่ถูกกว่า และยังได้ช่วยเกษตรเพิ่มรายได้ และช่วยลดขยะอาหารแทนการทิ้ง” ปัทมาภรณ์ กล่าว
เธอยังกล่าวว่า ขณะนี้ได้พัฒนาสู่ธุรกิจที่สอง คือ การส่งออกน้ำมะพร้าวสีชมพู และนำเปลือกมะพร้าวมาสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นถ่านรักษ์โลกหรือไบโอชาร์ซึ่งสามารถขายคาร์บอนเครดิตกับบริษัทในเยอรมนีและเกาหลีใต้ และธุรกิจที่สามคือการขายผักอินทรีย์ผ่านฟู้ดทรัค
“ลูกค้าเรียกร้อง อยากไปเปิดประสบการณ์ชอปปิงทางออฟไลน์ผ่านรถทรัค ซึ่ง 4 ปีมานี้ เราไม่เคยจ่ายค่าการตลาดเลย เราจะบอกลูกค้าว่า เราจะนำรถมาจอดให้ลูกค้าซื้อผักต่อเมื่อไปชวนเพื่อนมาซื้อ 20 คน ทำให้มีลูกค้าชัดเจน ไม่เหมือนรถเร่ ปัจจุบันมีจุดจอดรถกว่า 20 จุดย่านกลางเมือง สุขุมวิท สาทร ทองหล่อ เป็นต้น
ขณะที่เรื่องเล่าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ คือเรื่องเล่าของเกษตรกร และการให้ความรู้ถึงวิธีปลูกผักอินทรีย์ โดยลูกค้าหลายคนสนใจอยากรู้ที่มาของอาหาร และภูมิใจที่ได้บริโภคผักอินทรีย์” “ปัทมาภรณ์” กล่าว