skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
BCG เคลื่อน “เกษตรอัจฉริยะ”  พลังเชื่อมอุตสาหกรรมสู่ท้องถิ่น-โลก

BCG เคลื่อน “เกษตรอัจฉริยะ” พลังเชื่อมอุตสาหกรรมสู่ท้องถิ่น-โลก

ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เผยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG ทางรอดเกษตรไทย ยกระดับสู่เศรษฐกิจชีวภาพ ส.อ.ท. เคลื่อน “อุตสาหกรรมเกษตรอัจฉริยะ” เชื่อมอุตสาหกรรมสู่ท้องถิ่น สร้างชุมชนเติบโตยั่งยืน ขณะที่ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ระบุผู้ส่งออกไทย เร่งปรับตัวรับมือมาตรการกีดกันการค้าด้านสิ่งแวดล้อม “CBAM” ดีเดย์ 1 ต.ค.นี้

ในการอบรมหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change – LFC) รุ่นที่ 13 เข้าสู่โมดูลที่ 6 BCG Model : สานพลังสู่เศรษฐกิจชุมชน กับกรณีศึกษาจากวิทยากรทั้งจากภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคม วิสาหกิจชุมชน และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อสะท้อนรูปธรรม (In Action) ให้เห็นว่า การพัฒนาเศรษฐกิจในโมเดลใหม่ BCG เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ไปพร้อมกับการดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม

คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้บรรยายในหัวข้อ “อุตสาหกรรมเกษตรอัจฉริยะ : เชื่อมอุตสาหกรรมสู่ท้องถิ่น” ระบุว่า เศรษฐกิจโมเดลใหม่ BCG ถือเป็น “วาระแห่งชาติ” ที่ประเทศไทยต้องเคลื่อนสู่การเป็น “อุตสาหกรรมเกษตรอัจฉริยะ” โดยใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพของผลผลิตทางการเกษตรซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของไทย ในการสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันเป็นเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio– Economy) ผลักดันอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทย โดยปัจจุบันจีดีพีภาคเกษตรคิดเป็นสัดส่วนเพียง 9% ของจีดีพีเท่านั้น (มูลค่า 1.53 ล้านล้านบาท) ถ้าสามารถผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มมากกว่าการส่งออกสินค้าเกษตรพื้นฐาน ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกษตรสู่ท้องถิ่น นอกจากจะช่วยให้ภาคเกษตรมีอัตราการเติบโตแล้ว จะทำให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน

“ไทยมีรายได้จากการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของจีดีพี ในจำนวนนี้เป็นสินค้าเกษตรที่ส่วนใหญ่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม เราส่งออกเยอะแต่มีมูลค่าน้อย จึงเป็นปัญหาของประเทศที่ฝังราก คนในภาคเกษตร 25 ล้านคน ยิ่งทำยิ่งจน จนซ้ำซาก ทำให้ไทยเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนติดอันดับโลกที่สัดส่วน 90.6% ของจีดีพี จึงต้องแก้ปัญหาด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร ให้สอดคล้องกับความต้องการของโลก ซึ่งจะเป็นการเพิ่มรายได้ชุมชนที่ถาวร นี่คือแสงสว่างของประเทศไทย”

 

นอกจากการผลักดันเศรษฐกิจชีวภาพซึ่งเป็นขาหนึ่งของ BCG แล้ว ยังต้องทำควบคู่ไปกับการผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน (CircularEconomy) หรือการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมให้มากที่สุด เช่น การนำกลับมาใช้ใหม่ การใช้อย่างมีประสิทธิภาพให้เกิดของเสีย (Waste) ให้น้อยที่สุด เพื่อสร้างสมดุลระบบนิเวศ ให้เป็นเศรษฐกิจสีเขียว (Green – Economy) เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อยู่กับชุมชนอย่างมีความสุข ตามแนวทางเศรษฐกิจใหม่ BCG ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ส.อ.ท.มีส่วนในการดำเนินการผ่านโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

 

 

คุณเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก บรรยายหัวข้อ เตรียมพร้อมรับมือ มาตรการ CBAM : ภาษีคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน” โดยระบุว่า ขณะนี้ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสหภาพยุโรป ได้ออกมาตรการทางการค้า เพื่อให้ประเทศคู่ค้ามีส่วนร่วมในการลด “ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ” (Climate Change) เช่น ภาวะโลกร้อน น้ำท่วม พายุรุนแรง และคลื่นความร้อน จึงเป็นสิ่งที่ “ผู้ส่งออกไทย” ต้องเร่งปรับตัวรับมือกับมาตรการเหล่านี้อย่างเท่าทัน เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไว้ เพราะมาตรการดังกล่าวถือเป็น “มาตรการกีดกันทางการค้า” อย่างหนึ่ง

ทั้งนี้ สหภาพยุโรปจะบังคับใช้มาตรการ CBAM หรือการเรียกภาษีคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน ในวันที่ 1 ต.ค. นี้ แม้ในเบื้องต้นมาตรการดังกล่าวจะยังไม่จัดเก็บภาษี (มีระยะเวลาผ่อนปรน 2 ปี หากปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินเกณฑ์จะต้องเสียภาษีเท่ากับส่วนต่างนั้น) แต่บริษัทคู่ค้าที่ส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรปจะต้องจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตจึงจะสามารถส่งออกสินค้าไปจำหน่ายได้

 

“วันนี้โลกเข้าขั้นเกิดวิกฤติสิ่งแวดล้อมแล้ว ประเทศใหญ่ๆ ของโลกจึงมาร่วมมือกันทำเรื่องนี้ และเริ่มบังคับให้ประเทศอื่นๆ ทำ ด้วยการออกมาตรการทางการค้า การแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมก็เพื่อหวังรักษาความมั่งคั่งที่ทำกันไว้ ส่งต่อให้ลูกหลาน ก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤติสิ่งแวดล้อมจนทำให้ทุกอย่างล่มสลาย เพราะไม่เช่นนั้นประเทศที่ต่อสู้ทางการค้ากันอยู่ สุดท้ายก็จะตายกันหมด จึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการไทยต้องเกาะกระแสให้ทัน” คุณเกียรติชาย กล่าว

 


Back To Top