skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่นที่ 4

ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่นที่ 4

เอกสารเพิ่มเติม : ดาวน์โหลดเอกสาร PDF

ภายใต้หัวข้อ “Leadership for Change 2013 พลังพลเมืองกับการพัฒนาที่สมดุล”

สรุปข้อเสนอโครงการ

อบรมผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่น ๔ (Leadership for Change)

มูลนิธิสัมมาชีพ 

๑.  ข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงาน/โครงการ

     ๑.๑ ชื่อหน่วยงาน  : มูลนิธิสัมมาชีพ (Right Livelihood Foundation)

     ๑.๒ ที่ตั้ง  : ๑๑๑๑/๒๓  เดอะฮาบิแทท แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ ๑๐๓๑๐

     ๑.๓ หมายเลขโทรศัพท์ : ๐ ๒๕๓๐ ๙๒๐๔-๕ โทรสาร ๐ ๒๕๓๐ ๙๒๐๖

     ๑.๔ ประเภทหน่วยงาน : มูลนิธิ

     ๑.๕ ก่อตั้งเมื่อ : ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒

     ๑.๖ ชื่อโครงการ  : โครงการอบรมผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change)

     ๑.๗  ผู้อำนวยการโครงการ : ดร.เพ็ชร  ชินบุตร

๒.  ลักษณะโครงการ โดยย่อ

๒.๑ โครงการผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Lesdership for Change) เป็นโครงการฝึกอบรมและถ่ายทอดองค์ความรู้ ภายใต้มูลนิธิสัมมาชีพ เพื่อสร้างความตระหนัก การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและขยายผลสู่เครือข่ายความร่วมมือด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในกลุ่มผู้นำทุกภาคส่วนให้กับสังคมไทย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการผลักดันและหลอมรวมภาคการเมืองและประชาสังคม ให้ดำเนินธุรกิจกรรมทางสังคมอย่างสร้างสรรค์ที่ก้าวเดินไปพร้อมกันกับความสุขของชุมชน และนำไปสู่ความสุขที่ยั่งยืนของประเทศไทย

๒.๒ กิจกรรมในการฝึกอบรมประกอบด้วย

            ๐ กระบวนการเรียนรู้จากพี่เลี้ยงทางความคิด เพื่อการเข้าใจโลก เข้าใจประเทศไทยและ 

               เข้าใจตน เพื่อสร้างสังคมอุดมสุข

            ๐ กระบวนการเรียนรู้กิจกรรมตกผลึกขั้นต้นเพื่อเข้าใจว่า “ประเทศไทยคืออะไรสำหรับตน”

              ๐ กระบวนการเรียนรู้กิจกรรมตกผลึกกับพี่เลี่ยงอาวุโส เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิด      “การสร้างสังคมอุดมสุขที่เป็นไปได้จริง”

            ๐  กระบวนการเรียนรู้กิจกรรม “พลังพลเมืองกับการพัฒนาที่สมดุล”

๒.๓ กิจกรรมสนับสนุนการฝึกอบรมประกอบด้วย

            ๐  การบริหารจัดการโครงการ สร้างผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change)

            ๐  การประชาสัมพันธ์และการสื่อสารสาธารณะ 

๓.  เป้าหมายการดำเนินงาน

     มีผู้นำรุ่นใหม่เข้ารับการอบรมและผ่านการอบรมตามหลักสูตรฯ ไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ คน ในปี ๒๕๕๖ (รับ ๑๕๐ คน/รุ่น)

๔.  ระยะเวลาดำเนินงาน ๑๒ เดือน  (มกราคม – ธันวาคม ๒๕๕๖)

       ระยะที่  ๑  เตรียมงานโครงการ มกราคม – ตุลาคม     ระยะเวลา    ๑๐   เดือน

           ระยะที่  ๒  ฝึกอบรมฯ                                    ระยะเวลา    ๔   สัปดาห์

  • รุ่น ๔ อบรมฯ เดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม   

        ระยะที่ ๓  วิเคราะห์/สรุปผลและปิดโครงการธันวาคม ๕๖-มกราคม ๕๗ ระยะเวลา ๒ เดือน

  

ชื่อโครงการ โครงการอบรมผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change)

ประเภทโครงการ   การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม

Foundation Unit Leadership for Change  (LFC)     

ผู้อำนวยการโครงการ      ดร.เพ็ชร  ชินบุตร  

______________________________________________________________________ 

๑.  หลักการและเหตุผล

      ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในจุดที่เปราะบางอย่างที่สุด (Extremely Vulnerable Position) ทั้งนี้หากมองย้อนกลับไปเพียงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องประสบกับภาวะ “วิกฤติซ้ำซาก” ถึง ๓ ครั้ง เริ่มต้นจากวิกฤติต้มยำกุ้งในปี ๒๕๔๐ วิกฤติทางการเมืองระหว่างปี ๒๕๕๑-๒๕๕๔ และล่าสุดก็ต้องเผชิญกับมหาอุทกภัย ในช่วงปลายปี ๒๕๕๔ จะเห็นได้ว่า ระดับความรุนแรงและความเสียหายเพิ่มระดับมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหาอุทกภัยครั้งล่าสุด และประเทศไทยได้ยกระดับขึ้นสู่ความเสี่ยงแล้วทั้งระบบ ปรากฎการณ์ที่ส่งผลทำให้ประเทศไทยอยู่บนความเสี่ยงทั้งระบบ เป็นผลสืบเนื่องมาจากความสุดโต่ง (Age of Extremity)ของระบบโลกครอบคลุมในหลากมิติไม่ว่าจะเป็น ๑) ความสุดโต่งของธรรมชาติ (Nature Extremes) อาทิ น้ำท่วม ภัยแล้ง และผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ซึ่งนับวันจะมีปริมาณและระดับความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น ๒) ความสุดโต่งทางเศรษฐกิจ (Economic Extremes) อาทิ การเกิดวิกฤติหนี้ในสหภาพยุโรปที่อาจนำไปสู่การแตกของสหภาพยุโรป (Eurozone) หรือปรากฏการณ์ต่อต้านระบบทุนนิยม (Occupy Wall Street) และ ๓) ความสุดโต่งทางการเมือง (Political Extreme) อาทิการรวมตัวกันต่อต้านผู้นำเผด็จการในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ (Arab Spring) และการอุบัติขึ้นของวิกีลิกส์ (Wiki Leak) ตลอดจนถึง ๔) ความสุดโต่งทางสังคม (Social Extreme) อาทิ ความเหลื่อมล้ำระหว่างพวกรวยล้นเหลือ (Extreme Riches) กับคนที่เหลือในเกือบทุกภาคส่วนของโลก  หรือการแย่งชิงทรัพยากรระหว่างคนต่างพื้นที่อันเนื่องมาจากความสุดโต่งของธรรมชาติ

        เมื่อประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤติครั้งแล้วครั้งเล่า สะท้อนประเด็นปัญหาด้านความมี “เสถียรภาพ” การเป็นประเทศที่มีความเปราะบางอย่างที่สุดซึ่งสะท้อนปัญหาทางด้าน “ความยั่งยืน”และการเผชิญกับความเสี่ยงทั้งระบบสะท้อนประเด็นปัญหาทางด้าน “ความมั่นคงปลอดภัย” ในชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน  ชุมชนซึ่งเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดและเป็นฐานที่สำคัญของประเทศ จึงได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากภายนอก ได้แก่ พลวัตรการแข่งขันกันในทางเศรษฐกิจและสังคมโลกฯ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงภายใน “ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ และระดับความเจริญที่แตกต่างกันระหว่างสังคมเมืองกับชนบท” (จดหมายเหตุ ๑๐ ปี พอช. ๒๕๓๕-๒๕๕๓) กล่าวคือ ช่องว่างในทางเศรษฐกิจ การส่งเสริมการเกษตรที่พึ่งพิงปัจจัยการผลิตจากภายนอกและพึ่งพาตลาดภายนอกเป็นหลัก  การเข้าไม่ถึงการศึกษาหาความรู้ที่เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนา รวมถึงความเท่าเทียมกันในกระบวนการพัฒนาของประชาชนในเมืองและชนบท 

สาเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดนี้  ส่งผลให้สังคมไทยตกอยู่ในภาวะสภาพปัญหาเก่าที่ไม่ได้รับการแก้ไข และปัญหาใหม่อันซับซ้อนถั่งโถมเข้าสู่สังคมอย่างไม่จบสิ้น ยังไม่นับรวมผลกระทบจากการเปิดประชาคมอาเซียน ปี 2558 ที่มีผลกระทบต่อชุมชนและแรงงานไทย ดังนั้น เมื่อสังคมไทยมิอาจหันหลังให้กับ โลกาภิวัฒน์ (Globalization) ได้ ท่ามกลางวิกฤติการณ์โลก ประเทศไทยควรปรับแนวทางการพัฒนาแบบใหม่ เสริมสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ จิตสำนึกใหม่ของการพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบทของชุมชนและสังคมไทย

ด้วยเหตุนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนในชาติบ้านเมือง ต้องร่วมมือเพื่อสร้างระบบของสังคม (ที่มีความละเอียดอ่อนในทุกมิติ) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ผู้นำชุมชน” ที่เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันและร่วมปฏิรูปประเทศไทยให้ก้าวพ้นกับดักความเหลื่อมล้ำ หลุดพ้นจากการพัฒนาแบบเดิมที่เน้นการเตรียมผู้คนเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ (People for Growth) โดย ๑) ใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง ๒) ใช้ชุมชนท้องถิ่นที่เป็นฐานและพลังของแผ่นดิน และ ๓) ใช้ภาคเอกชน CSR ซึ่งมี     จุดแข็งด้านการบริหารจัดการ ให้ก่อเกิดเป็นความร่วมมือร่วมขับเคลื่อนเพื่อพลิกฟื้นชุมชนและสังคมให้มีดุลยภาพ สู่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานและสิ่งใหม่ที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน

        ถึงเวลาแล้ว ที่ประเทศไทยควรยกเครื่องประเทศไทยทั้งระบบ (Time for a Real Reform Agenda) “ปรับเปลี่ยนเชิงฐานราก” ในทุกมิติ ทั้งมิติทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การเมือง รวมถึงเร่งติดอาวุธ คือ “ปัญญา” เพื่อพัฒนาคนให้สอดคล้องและให้รู้เท่าทันสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของระบบโลกและประเทศชาติ  ให้ตระหนักถึงการหาแนวทางแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่างถูกต้อง ก่อเกิดเป็นทางออกในการขับเคลื่อนเชิงสร้างสรรค์ร่วมกันแบบบูรณาการ ตลอดจนนำไปสู่การขยายผลในมิติทางด้านปัญญาสู่การปฏิบัติอย่างถูกต้องด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์ร่วมกันต่อไป

  ๒.   วัตถุประสงค์การพัฒนา “โครงการสร้างผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง” (Leadership for Change)

        ๒.๑ เพื่อถ่ายทอดทักษะความรู้ สำหรับการเป็นผู้นำที่สามารถสร้างสรรค์การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้กับองค์กร พื้นที่ และสังคมไทย 

        ๒.๒ เพื่อสร้างจิตสมดุลระหว่าง การเข้าใจโลก เข้าใจประเทศไทย เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและสำนึกรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ในท้องถิ่นของตนเองรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม

        ๒.๓ เพื่อระดมสมองในการสร้างรูปแบบกิจกรรมทางสังคมที่เหมาะสม ในการเข้าช่วยแก้ปัญหา รวมทั้งตอบสนองความต้องการของสังคม

        ๒.๔ เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการสร้างเครือข่ายสร้างสรรค์เพื่อสังคม ระหว่างชุมชน หน่วยงานท้องถิ่น องค์กรธุรกิจ สถาบันการศึกษา และหน่วยงานราชการ ในการสรรค์สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เพื่อสังคมอุดมสุขที่ยั่งยืนในประเทศไทย 

๓.  กลุ่มเป้าหมาย

  ๓.๑ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกภาคส่วน ได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด, นายกเทศมนตรีเทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล และนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ทั้ง ๕ ระดับ ทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยร้อยละ ๑๐   

  ๓.๒ ผู้นำชุมชน เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำธรรมชาติ องค์กรพัฒนาเอกชนทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยร้อยละ ๒๐  

  ๓.๓  ผู้แทนองค์กรภาคี/เครือข่าย เช่น พอช. สสส. สกส. สสค. สช. ร้อยละ ๑๐

  ๓.๔ ผู้แทนหน่วยงานราชการ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด แพทย์ ทหาร ตำรวจ ครู สหกรณ์หอการค้า ทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยร้อยละ ๓๐ 

  ๓.๕ ผู้นำองค์กรภาคธุรกิจ/ผู้นำภาคประชาสังคม/ผู้ประกอบการเพื่อสังคม ร้อยละ ๒๐

  ๓.๖ ผู้แทนสถาบันการเงิน เช่น ตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ ร้อยละ ๑๐

  **ทั้งนี้ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม 

๔.  ระยะเวลาดำเนินงาน ๑๒ เดือน  (มกราคม – ธันวาคม ๒๕๕๖)

       ระยะที่  ๑  เตรียมงานโครงการ มกราคม – ตุลาคม     ระยะเวลา    ๑๐   เดือน

           ระยะที่  ๒  ฝึกอบรมฯ                                    ระยะเวลา    ๔   สัปดาห์

  • รุ่น ๔ อบรมฯ เดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม

        ระยะที่  ๓  วิเคราะห์สรุปผลและปิดโครงการธันวาคม ๕๖-มกราคม ๕๗ ระยะเวลา๒ เดือน 

๕.  ผลผลิต ผลลัพธ์ และตัวชี้วัดความสำเร็จ

     ๕.๑   ผลผลิต

๕.๑.๑  ผู้นำทุกภาคส่วนฯ ได้รับการฝึกอบรมตามหลักสูตร “สร้างผู้นำ-นำการ  

       เปลี่ยนแปลง” ๑๐๐ คน ในปี ๒๕๕๖ (รับ ๑๕๐คน/รุ่น โดยต้องผ่านการอบรมไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐)

              ๕.๑.๒ มีระบบการบริหารโครงการฯ และหลักสูตรที่เข้ากับยุคสมัย สามารถรองรับการขยายผล

              ๕.๑.๓ มีการติดตามประเมินผลเพื่อพัฒนาหลักสูตรฯ ให้มีประสิทธิภาพ

              ๕.๑.๔ มีกระบวนการสื่อสารสารธารณะ ที่สามารถรองรับการระดมทุนและขยายผลการฝึกอบรมเพิ่มเติมได้ต่อไป

     ๕.๒   ผลลัพธ์

             ๕.๒.๑ มูลนิธิสัมมาชีพและภาคี มีการดำเนินงานเชิงรุก เพื่อสร้างความพร้อมให้กับผู้นำรุ่นใหม่ให้สามารถขับเคลื่อนและสร้างความเปลี่ยนแปลงที่มีคุณภาพทางด้านการประกอบอาชีพและสังคม ผ่านกระบวนการเรียนรู้ด้านความเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงสร้างสรรค์ให้กับสังคมไทย

              ๕.๒.๒ ผู้นำทุกภาคส่วนฯ มีความตระหนักและก่อเกิดเป็นเครือข่ายความร่วมมือด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ในการสร้างกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อสังคมไทย อันจะก่อให้เกิดการผลักดันและหลอมรวมภาคประชาสังคม รวมถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมที่ก้าวเดินไปพร้อมกันกับความสุขของชุมชน และนำไปสู่ความสุขที่ยั่งยืนของประเทศไทยได้อย่างแท้จริง

๖.  ตัวชี้วัดความสำเร็จ

              ๖.๑ จำนวน ผู้นำทุกภาคส่วน เข้ารับการอบรมไม่น้อยกว่า ๑๐๐ คน ในปี ๒๕๕๖(รับ ๑๕๐คน/รุ่น)

              ๖.๒ จำนวน ชั่วโมงที่ผู้นำทุกภาคส่วน เข้ารับการการอบรมไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐

              ๖.๓ จำนวน ผู้นำทุกภาคส่วน ผ่านการอบรม ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๐

              ๖.๔ จำนวนเครือข่ายความร่วมมือด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ๑ เครือข่ายในปี ๒๕๕๖

              ๖.๕ มีแนวทางพัฒนานโยบายและระบบบริหารงานของมูลนิธิฯ อย่างมีส่วนร่วมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

              ๖.๖ มีกิจกรรมระดมทุนได้ร้อยละ ๑๐๐ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมในโครงการฯ

              ๖.๗ มีหลักเกณฑ์ วิธีการดำเนินงาน/ส่งรายงานความก้าวหน้าให้ผู้บริหาร  แหล่งทุน ถูกต้อง ครบถ้วน ตามแผนที่กำหนด

 

ตารางอบรมโครงการผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่นที่ 4
วันที่ 23 -24 พ.ย. 56 และ วันที่ 30 พ.ย. – 1 ธ.ค. 56
SOCIAl LOCAL TREND (I)
(Week 3) (Week 4)
Sat : 23 Nov 2013 Sat : 30 Nov 2013
08.30-09.00 : ลงทะเบียน 08.30-09.00 : ลงทะเบียน
09.00-10.30 : Session 13 (ปาฐกถาพิเศษ) 09.00-12.00 : Session 20
: ทำไมธุรกิจต้องรับผิดชอบต่อสังคม CSV กับชุมชนเข้มแข็ง
๐ คุณธีรพงศ์  จันศิริ ๐ คุณนันทวัฒน์ ลิมมิตร (อดีตนายก อบต.สาคร จ.สตูล)
ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ๐ ดร.วิทย์ สุนทรนันท์
10.45-12.00 : Session 14 (ปาฐกถาพิเศษ) ผู้อำนวยการด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน)
: ความรับผิดชอบทางสังคมของภาคธุรกิจ ๐ คุณธารทิพย์ ศิรินุพงศ์
๐ ดร.พิพัฒน์  ยอดพฤติการ ผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานภายนอก บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน)
ผู้อำนวยการสถาบันไทยพัฒน์ MOD : ดร.อนุรักษ์ เรืองรอบ (กรรมการบริหารมูลนิธิสัมมาชีพ)
13.00-15.00 : Session 15 13.00-14.00 : Session 21 (ปาฐกถาพิเศษ)
: ภาคชุมชนกับความรับผิดชอบต่อการพัฒนาที่สมดุล : บทบาทหอการค้ากับการเสริมสร้างพลังพลเมือง : ความร่วมมือธุรกิจกับชุมชน
๐ ศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค้ำ (ศาสตราจารย์กิตติคุณ ม.จุฬา) ๐ คุณอิสระ ว่องกุศลกิจ
๐ คุณพลากร วงค์กองแก้ว (ผู้อำนวยการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน) ประธานกรรมการหอการค้าไทย
๐ คุณวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ (ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี) 14.15-15.15 : Session 22 (ปาฐกถาพิเศษ)
๐ คุณเจษฎา  มิ่งสมร  (อนุกรรมการภาคฯ จ.ฉะเชิงเทรา) : AEC ผลกระทบกับวิถีสังคมไทย
MOD : คุณประพจน์ ภู่ทองคำ (ประธานกรรมการบริหาร ทัฟครีเอชั่น) ๐ ดร.คณิศ  แสงสุพรรณ
15.00-16.00 : Session 16 (ปาฐกถาพิเศษ) ผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง
: นโยบายพลังงานและการพัฒนาประเทศ 15.15-16.30 : Session 23
๐ ดร.คุรุจิต นาครทรรพ มูลนิธิสัมมาชีพกับการสร้างสังคมที่สมดุล
รองปลัดกระทรวงพลังงาน ๐ คุณสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ (ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิสัมมาชีพ)
16.00-18.00 : กิจกรรมพิเศษ ๐ ดร.วีระพันธ์ ชินวัตร (กรรมการบริหารมูลนิธิสัมมาชีพ)
* แลกเปลี่ยนเรียนรู้/แบ่งตามกลุ่ม MOD : คุณณรงค์ คงมาก (กรรมการบริหารมูลนิธิสัมมาชีพ)
17.00-20.00 : กิจกรรมสังสรรค์
Sun : 24 Nov 2013 Sun : 1 Dec 2013
08.30-09.00 : ลงทะเบียน 08.30-09.00 : ลงทะเบียน
09.00-10.30 : Session 17 (ปาฐกถาพิเศษ) 09.00-10.40 :  : Session 24
: 1 บริษัท 1 ตำบล กับการสร้างสังคมที่ดีกว่า : นำเสนอรูปธรรมการผนึกพลังพลเมืองเพื่อสังคมที่สมดุล
๐ นพ.มงคล  ณ สงขลา ๐ LFC 4
ประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ ๐ ผู้แทน LFC 4 นำเสนอการประมวลผล
10.45-12.00 : Session 18 11.00-12.00 : Session 25 (ปาฐกถาพิเศษ)
: Workshop : เมืองไทยภายใต้พลังพลเมือง
๐ คุณทรรศิน สุขโต ๐ ศาสตราภิชาน ดร.สมคิด  จาตุศรีพิทักษ์
ผู้อำนวยการมูลนิธิสัมมาชีพ รองประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา มูลนิธิสัมมาชีพ
13.00-15.00 :  Session 19 13.00-15.00 : พิธีปิด
: องค์กรปกครองท้องถิ่นเพิ่มพลังภาคพลเมืองได้อย่างไร : พิธีปิดโครงการผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่น 4
๐ คุณพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ (นายกเทศมนตรีนครยะลา)
๐ คุณสมชาย จริยเจริญ (นายกเทศมนตรี ต.เมืองแกลง)
๐ คุณกนกศักดิ์ ดวงแก้วเรือน (นายกเทศมนตรี ต.แม่ทา)
MOD :  คุณจอม เพชรประดับ (ผู้ดำเนินรายการ Voice TV)

ไม่มีภาพกิจกรรม

Back To Top