skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
ทำ SE ไม่ต้องรอกฎหมาย

ทำ SE ไม่ต้องรอกฎหมาย

แม้ในบ้านเรา จะมีความเคลื่อนไหวของการประกอบวิสาหกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) มานานระยะหนึ่งแล้วแต่ก็ยังไม่ On ในระดับ Mass ที่สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสังคมเหตุผลที่ถูกยกมาอ้างถึงความไม่คืบหน้าของการพัฒนา SE มาโดยตลอด คือ การที่ไม่มีกฎหมายรองรับสถานะของกิจการประเภท SE จึงทำให้ ไม่เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบการในลักษณะดังกล่าวการผลักดันเรื่องการพัฒนา SE ของไทยจึงไปฝากความหวัง (ทุกสิ่งอย่าง) ไว้กับการคลอด พรบ.ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมผมเป็นคนหนึ่ง ที่ไม่เชื่อว่าอุปสรรคดังกล่าวมาจากเรื่องกฎหมายและแม้การมีกฎหมายรองรับสถานะของ SE จะเป็นเงื่อนไขหนึ่งแต่มิใช่ปัจจัยหลักของการพัฒนา SE ไปสู่ฝั่งฝันได้เพราะอะไรหรือครับโดยส่วนตัวผมมองว่าพื้นฐานของ SE ไม่ได้แตกต่างจาก SME ที่ใช้รูปแบบทางธุรกิจในการประกอบการ คือ ต้องมีการผลิตสินค้า สร้างบริการ หาตลาด หาลูกค้า ขายหรือให้บริการ และมีกำไร เลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดได้

วันนี้ใครที่ต้องการประกอบกิจการหรือดำเนินการเพื่อสังคมก็สามารถตั้งบริษัทเพื่อทำธุรกิจโดยมีความมุ่งประสงค์ทางสังคม หรือ Social Purpose ที่จะแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม ภายใต้สถานะกิจการแบบ SME ได้ วิธีคิดของผู้ประกอบการสังคม คือ แทนที่จะผลิตสินค้าหรือสร้างบริการที่ตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในแบบธุรกิจหากำไรทั่วไปก็ปรับให้เป็นการออกแบบสินค้าหรือบริการของตน ให้ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชนหรือสังคมกลุ่มเป้าหมายหรือตอบสนองต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมในประเด็นที่ตนเองต้องการเข้าไปแก้ไขและพัฒนา และแทนที่จะกำหนดส่วนตลาด (Market Segment) ที่เป็นกลุ่มลูกค้าทั่วไปในแบบธุรกิจปกติ ก็พิจารณาให้น้ำหนักในส่วนตลาดที่ยังมิได้รับการตอบสนอง (Unserved Market) หรือที่ยังตอบสนองได้ไม่เต็มที่ (Underserved Market) เช่น การออกแบบและพัฒนาสินค้าและบริการตามกำลังซื้อของคนในระดับฐานราก เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตหรือความจำเป็นขั้นพื้นฐาน ทั้งหมดที่ว่านี้ จริงๆ ไม่มีข้อห้ามในกฎหมายข้อใดที่การจดทะเบียนแบบ SME จะทำธุรกิจช่วยเหลือชุมชน สังคม ในแบบเดียวกับที่ SE ทำไม่ได้ อ้าว แล้วเรายังต้องการกฎหมาย SE ไปเพื่ออะไรครับ มี 2 ข้อหลัก ครับ

    ข้อแรก คือ สิทธิประโยชน์ทางภาษี พูดง่ายๆ คือ ต้องการเว้นภาษี เพราะการทำ SE เป็นการประกอบกิจการหรือการดำเนินการเพื่อสังคมส่วนรวม

    ข้อสอง คือ การอุดหนุนจากภาคส่วนต่างๆ หลักๆ คือ จากภาครัฐ เพราะการทำ SE ให้สำเร็จนั้น ยากกว่าทำธุรกิจทั่วไป ตรงที่การเข้าถึงตลาดมีความหินกว่า ลูกค้ามีกำลังซื้อต่ำกว่า จึงต้องมีการให้แต้มต่อ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้เข้ามาประกอบการในแบบ SE มากขึ้น เรื่องการเว้นภาษีของ SE ผมขออนุญาตใช้ตรรกะว่า ในเมื่อคิดจะมาเป็นผู้ประกอบการสังคมการเสียภาษี คือ หน้าที่ของผู้ประกอบการภาคเอกชน ที่จะจัดสรรกำไรส่วนหนึ่งให้แก่รัฐ เพื่อทำหน้าที่ดูแลพัฒนาสังคมส่วนรวมแทนเรา การเสียภาษี จึงเป็นบทบาทที่พึงกระทำของผู้ประกอบการสังคมอยู่แล้ว (ส่วนรัฐ จะเอาเงินภาษี ไปบริหารจัดการ ดูแลพัฒนาสังคม อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ต้องปรับแก้ที่ตรงนั้น ไม่เกี่ยวกับว่า หากรัฐบริหารจัดการไม่ดี เราเลยจะเลี่ยงจ่ายภาษี) ส่วนเรื่องการอุดหนุนให้แก่ SE ผมขออนุญาตใช้ตรรกะว่า ถ้าจะทำ SE ให้สำเร็จ ก็ต่อเมื่อต้องมีแต้มต่อหรือพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอกเป็นหลัก แสดงว่า SE ที่ได้รับการสนับสนุนนั้น อาจจะไม่สามารถอยู่รอดได้ด้วยตัวเอง หรือเป็นไปอย่างยั่งยืน (ความสำเร็จหรือความอยู่รอดของ SE ต้องเกิดจาก คน-ของ-โมเดลทางธุรกิจ จากภายในกิจการเป็นหลัก) เมื่อใดที่การสนับสนุนที่ SE ได้รับนั้น ต้องมีอันยุติลง กิจการก็อาจไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ หรือหากต้องการให้ดำเนินต่อไป ก็ต้องคงการสนับสนุนนั้นไปตลอด ซึ่งไม่ตอบโจทย์การพัฒนากิจการให้ไปสู่ความเข้มแข็งในระยะยาวได้มาถึงตรงนี้ท่านที่กำลังผลักดันเรื่องการส่งเสริม SE อาจแย้งว่าเราจำเป็นต้องส่งเสริมในช่วงเริ่มต้น เมื่อ SE ที่ตั้งขึ้นอยู่รอดแล้ว จะปล่อยให้เขาเติบโตได้ด้วยตัวเอง การส่งเสริมและสนับสนุนที่ว่านี้ก็จะหันไปให้กับ SE ที่ยังไม่เข้มแข็งรายใหม่ๆต่อไปเป็นวงรอบเพื่อขยายจำนวนกิจการ SE ให้เพิ่มมากขึ้นถ้างั้นเรามาส่งเสริม SME ที่มีกว่า 3 ล้านราย จากการทำธุรกิจหากำไรในแบบปกติปรับเปลี่ยนให้มีความมุ่งประสงค์ทางสังคม หรือ Social Purpose ที่จะแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม ในแบบ SE (ที่ไม่ต้องยกเว้นภาษีเพิ่ม และไม่จำเป็นต้องได้รับการอุดหนุนเพราะอยู่รอดและแข็งแรงในระดับหนึ่งแล้ว) ทำได้ซัก 1% ก็ได้ 3 หมื่นรายแล้วจะดีกว่ามั้ยครับการส่งเสริม SE ให้สำเร็จนั้นต้องเริ่มจาก Mindset ของการเปิดวงให้มีผู้เล่นในแบบ Inclusive ไม่ใช่การขีดวงให้เกิดผู้เล่นในแบบ Exclusive หรือป่ะ

เรียบเรียงโดย ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ
สามารถติดตามบทความอื่นๆได้ที่

http://www.pipat.com/

ไม่มีภาพกิจกรรม

ไม่มีวิดีโอ

Back To Top