skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
วิถีการผลิต“บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม”  ต้นแบบชุมชน“ผู้ประกอบการชนบทใหม่”

วิถีการผลิต“บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม” ต้นแบบชุมชน“ผู้ประกอบการชนบทใหม่”

วิถีการผลิต“บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม”

ต้นแบบชุมชน“ผู้ประกอบการชนบทใหม่”

บ้านโคกล่ามและบ้านแสงอร่าม ต.กุดหมากไฟ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี มีผู้คนรุ่นสู่รุ่นผูกพันด้วยสายสัมพันธ์เติบโตจากเครือญาติเดียวกันเหนียวแน่นมานานถึง 80 ปีนับแต่ตั้งบุกเบิกตั้งบ้านเรือนเมื่อปี 2485 ถึงกระนั้นแบบอย่างชีวิตของชาวบ้านแห่งนี้ก็หนีไม่พ้นลักษณะชุมชนชนบทอีสานทั่วไป คือ อยู่ห่างไกลความเจริญจากเมือง ความเป็นอยู่เรียบง่าย ยังชีพด้วยการเกษตรธรรมชาติ เมื่อเวลาว่างผู้หญิงมักทอผ้า ส่วนผู้ชาย คนเฒ่าคนแก่สานกระบุง ตะกร้า กระติบข้าวเอาไว้ใช้ในครัวเรือน

 

ปัจจุบันทั้งสองหมู่บ้านมีครัวเรือนรวม 258 หลังคาเรือน ประชากร 1,426 คน ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำนา ทำสวน ทำไร่ ค้าขาย เลี้ยงสัตว์ และรับจ้างทั่วไป มีเพียงบางส่วนรับราชการ และบางคนละทิ้งถิ่นฐานแห้งแล้งไปขายแรงงานที่ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย อิสราเอล และซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น

 

ภูมิพื้นที่ทั้ง 2 หมู่บ้าน ด้านทิศตะวันออกติดเทือกเขาภูเก้า-ภูพานคำ มีพื้นที่ราบเนินตีนภูประมาณ 12,972 ไร่ ใช้ทำการเกษตรประมาณ 2,873 ไร่ ส่วนใหญ่เป็นนาข้าว มันสำปะหลัง ไร่อ้อย และสวนยาง และที่สำคัญมีแหล่งน้ำถือเป็นทรัพยากรสำคัญ 4 แหล่งใช้ประโยชน์ในการทำเกษตรกรรม ได้แก่ ห้วยคล้าย ห้วยขี้เกีย ห้วยคำเข และห้วยอ่าง

 

“น้ำ”ปัจจัยพลิกฟื้นวิถีการผลิตใหม่

ในปี 2551 โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยคล้าย อันเนื่องจากพระราชดำริ ได้ปรับปรุงเพิ่มพื้นที่เก็บกักน้ำแล้วเสร็จ พร้อมขุดลอกลำห้วยและสร้างฝายน้ำล้นคอนกรีตเสริมเหล็กยาว 108 เมตร แทนทำนบดินเดิมที่ชาวบ้านทำขึ้น แต่ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากไม่มีระบบส่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำ จึงทำให้พื้นที่การเกษตรเพียง 800 ไร่ได้รับประโยชน์ ส่วนหน้าแล้งมีพื้นที่เกษตรใช้ประโยชน์จากน้ำกักเก็บเพียง 200 ไร่เท่านั้น

 

 

ชาวบ้านโคกล่ามและบ้านแสงอร่ามได้พยายามหาทางช่วยเหลือตัวเอง โดยปรึกษากับเจ้าหน้าที่กรมชลประทานซึ่งเสนอการแก้ปัญหา 2 แนวทาง คือ ทำรางส่งน้ำที่มีความกว้าง 3-4 เมตรเข้าไปในพื้นที่นาของชาวบ้าน แต่ชาวบ้านต้องเสียพื้นที่เพาะปลูก และอีกแนวทางหนึ่งคือ ขุดวางท่อส่งน้ำใต้ดิน โดยไม่เสียพื้นที่เพาะปลูกแต่ใช้งบประมาณในการดำเนินการและการซ้อมบำรุงสูง ดังนั้นแนวคิดทั้ง 2 ทาง จึงค้างคาไม่ถูกนำมาปฏิบัติ

 

กระทั่ง ปี 2554 มูลนิธิปิดทองหลังพระให้ความสนับสนุนช่วยเหลือเข้าปรับปรุงระบบน้ำ โดยพัฒนาสระน้ำใหญ่เป็นแก้มลิงเก็บกักน้ำ 3 แห่ง ขุดดินวางท่อ PVC ส่งกระจายน้ำเข้าสู่แปลงนาการเกษตร พร้อมๆกับส่งเสริมชาวบ้านใช้ชีวิตแบบพอเพียงด้วยการทำเกษตรผสมผสานและเกษตรทฤษฎีใหม่มาเป็นฐานต่อยอดไปสู่การพลิกฟื้นชีวิตครั้งใหม่ โดยหวังให้ชาวบ้านหลุดพ้นจากหนี้สิน ลดการพึ่งพาจากรัฐ และเกิดการรวมกลุ่มทำกิจการเล็กๆของชุมชนในอนาคต

 

ก่อรูป“ต้นแบบ”ขยายการเรียนรู้

ระหว่างการปรับปรุงระบบส่งน้ำดำเนินงานอยู่และแล้วเสร็จในปี 2555 การวางฐานชีวิต “ต้นแบบ” พอเพียงและพึ่งตนเองได้ก่อรูปควบคู่ไปด้วย โดยมูลนิธิปิดทองหลังพระคัดเลือกเกษตรกร 2 ราย คือ “บุญมาก สิงห์คำปอง กับ สุบรร สอดศรี” เพราะมีความอดทนขยันหมั่นเพียร ดูแลพืชผักในไร่นาอย่างไม่ย่อท้อกับเปลวแดดที่ร้อนจัด แล้วส่งไปอบรมในโครงการฟาร์มตัวอย่างตามแนวพระราชดำริ ที่หนองหมากเฒ่า ต.ห้วยยาง อ.เมือง จ.สกลนคร ได้เรียนรู้ทางทฤษฎีและทดลองปฏิบัติปลูกพืชผสมผสาน 3 ระดับ คือ พืชชั้นสูง พืชชั้นกลาง พืชกินหัวและพืชในน้ำเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อนำความรู้มาถ่ายทอด ช่วยเหลือเกษตรกรรายอื่นๆ ในชุมชน

 

    

 

หลังผ่านการอบรมชีวิต “ต้นแบบ” ทั้ง 2 คนกลับบ้าน ลงมือทำแปลงสาธิตบนผืนดินตัวเองเป็นแบบอย่าง และเปิดให้คนในหมู่บ้านมาศึกษาเรียนรู้ ถ่ายทอดแนวคิดและวิธีการปฏิบัติ ให้นำไปทำจริงในแปลงนาของชาวบ้านที่ใฝ่ฝันถึงการฟื้นคืนชีวิตด้วยตนเอง จนขยายเพิ่มคนแบบอย่างในชุมชนได้ 31 คนจากคนต้นแบบ 2 คนภายในระยะเวลา 2 เดือน

 

เมื่อชาวบ้านมีความต้องการเลี้ยงหมูพันธุ์เหมยซาน ซึ่งเชื่อว่าสามารถสร้างรายได้เพิ่มได้เร็วขึ้น เพราะเป็นพันธุ์หมูที่ให้ลูกดก เลี้ยงง่ายโตเร็ว ทนทานต่อโรค เนื้อเยอะ และปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมได้ดี มูลนิธิปิดทองหลังพระรับเป็นแม่งานอีก โดยส่งตัวแทนชาวบ้าน 5 คนไปศึกษาดูงานความสำเร็จที่โครงการพื้นที่ต้นแบบบูรณาการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่ จ.น่าน ตามแนวพระราชดำริ

 

อีกเช่นเคย ตัวแทนกลับถึงหมู่บ้าน ได้นำบทเรียนจากการศึกษาดูงานต่อเพื่อนบ้านและมีชาวบ้านหลายคนต้องการเลี้ยงหมูเหมยซาน มูลนิธิปิดทองหลังพระ จึงสนับสนุนพ่อพันธุ์หมู 4 ตัว และแม่พันธุ์ 90 ตัว ให้แก่เกษตรกรผู้สนใจ 75 ครัวเรือน พร้อมส่ง “อดุลย์ เจริญสุข และตัวแทน” ไปศึกษาดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.เมือง จ.สกลนคร เป็นเวลา 3 สัปดาห์ เพื่อเรียนรู้ด้านทฤษฎีและการปฏิบัติจริงเกี่ยวกับการเลี้ยงหมู ทั้งการทำความสะอาดคอกหมู การทำคลอดหมูและดูแลลูกหมูแรกเกิด การวางแผนผสมพันธุ์แม่หมู และการใช้ยารักษาโรคหมู  

 

นอกจากนี้ ชาวบ้านยังได้รับการสนับสนุนและผลักดันให้ตั้งกองทุนหลากหลายขึ้น ทั้งกองทุนปุ๋ย โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ส่งตัวแทนชาวบ้านไปศึกษาดูงาน อบรมและเรียนรู้การทำปุ๋ยชีวภาพอัดเม็ดที่ จ.นครราชสีมา รวมทั้ง เมื่อชาวบ้านสนใจทำเกษตรอินทรีย์ มูลนิธิปิดทองหลังพระ ได้จัดศึกษาดูงานที่มูลนิธิขวัญข้าว จ.สุพรรณบุรี แล้วนำความรู้มาต่อยอดแนวทางพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวอินทรีย์ของท้องถิ่น จนเป็นจุดเริ่มตั้งกลุ่มกองทุนเมล็ดพันธุ์ข้าวขึ้น

 

ไม่เพียงเท่านั้น มูลนิธิปิดทองหลังพระ ยังส่งตัวแทนชาวบ้านไปอบรมการเลี้ยงเป็ดที่ฟาร์มเลี้ยงเป็ดปนัดดา อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี นาน 15 วัน พร้อมสนับสนุนเงินทุนอีก 50,000 บาทเป็นกองทุนเป็ดและซื้อลูกเป็ดมาให้สมาชิกเลี้ยง

 

ดังนั้น ช่วงการจัดการระบบส่งน้ำระหว่างปี 2554-2555 การฟื้นคืนชีวิตใหม่สู่ความพอเพียง พึ่งตนเองก็ดำเนินการก่อรูปวางฐานกิจกรรมตามมาอย่างเข้มข้น โดยมีมูลนิธิปิดทองหลังพระ หน่วยงานราชการ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เข้ามามีบทบาทสำคัญและสนับสนุนส่งเสริมต่อยอดให้ชาวบ้านเกิดแนวทางรวมกลุ่มสร้างวิถีการผลิตใหม่ ด้วยลักษณะผสมผสานสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นจนกลายเป็น “ชนบทต้นแบบ” ให้หน่วยงานรัฐ เอกชน และหมู่บ้านต่างๆ มาศึกษาดูงานเอาเป็นแบบอย่าง

 

ผู้ประกอบการชนบทใหม่: ต่อยอดเชื่อมโยงพึ่งพากัน

วิถีการผลิตชุมชนของบ้านโคกล่ามและบ้านแสงอร่ามพลิกเปลี่ยนใหม่ด้วยปัจจัยอย่างน้อย 3 ด้าน คือ หนึ่งมีระบบจัดส่งน้ำถึงพื้นที่เกษตร สองชาวบ้านระดมความเห็นปรึกษาหารือเพื่อรวมกลุ่มกิจกรรมของชุมชน และสามมูลนิธิปิดทองหลังพระ หน่วยงานรัฐและท้องถิ่นให้การสนับสนุน จนทำให้ชีวิตการเกษตรของชุมชนพลิกเปลี่ยนใหม่มาตั้งแต่ปี 2554 ถึงปัจจุบันรวม 10 ปีแล้ว จัดว่าพัฒนาเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

 

 

ในช่วง 10 ปีนั้น มูลนิธิปิดทองหลังพระมีบทบาทสำคัญกับการก่อเกิด “ต้นแบบ” การทำเกษตรพอเพียงและพึ่งตนเอง จนกลายเป็นแบบอย่างในคนในชุมชน แล้วต่อยอดความต้องการของชาวบ้านจนขยายเป็นกลุ่มกิจกรรมใหม่ถึง 10 กลุ่ม เริ่มด้วยก่อตั้งกลุ่มกองทุนหมูขึ้นเป็นกลุ่มแรก แล้วตามด้วยกลุ่มกองทุนยาและเวชภัณฑ์สัตว์เป็นกลุ่มที่สอง ถัดจากนั้นไล่เรียงกันไปทั้งกลุ่มกองทุนปุ๋ย กลุ่มกองทุนศึกษาดูงาน กลุ่มกองทุนเมล็ดพันธุ์ผักและพืชหลังนา กลุ่มกองทุนการตลาด กลุ่มกองทุนเมล็ดพันธุ์ข้าว กลุ่มกองทุนเป็ด กลุ่มผู้ใช้น้ำ และสุดท้ายตั้งวิสาหกิจโรงสีข้าวชุมชนเป็นกลุ่มที่สิบ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อกิจกรรมทั้ง 10 กลุ่มดำเนินงานมาสักระยะ กลับมีบางกลุ่มเกิดปัญหาการจัดการผลประโยชน์และความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม สมาชิกกลุ่มจึงแก้ปัญหาด้วยแนวทางยุบ 3 กลุ่มคือ กลุ่มกองทุนหมู กลุ่มกองทุนยาและเวชภัณฑ์สัตว์ และกลุ่มกองทุนเป็ด มารวมกันแล้วตั้งเป็นกลุ่มใหม่ คือ กลุ่มปศุสัตว์ เพื่อดำเนินงานให้คำแนะนำปรึกษา การดูแลและรักษาโรคในสัตว์เลี้ยงครอบคลุมทั้งหมู เป็ด ไก่ รวมไปถึงวัวและควายด้วย

 

นอกจากนี้ ยังยุบกลุ่มกองทุนเมล็ดพันธุผักและพืชหลังนามาอยู่ร่วมกับกลุ่มกองทุนการตลาด เนื่องจากคณะกรรมการเป็นคนกลุ่มเดียวกัน แล้วเพิ่มบทบาทให้ดำเนินงานครอบคลุมทั้งการรับซื้อผลผลิตของคนในชุมชนไปจำหน่าย และการจัดหาเมล็ดพันธุ์มาจำหน่าย การยืม-คืนเมล็ดพันธุ์ รวมถึงการให้คำแนะนำในการปลูกผักและพืชหลังนาแก่สมาชิก ดังนั้น กลุ่มกิจกรรมของชุมชนจึงเหลือแสดงบทบาทเพียง 8 กลุ่มในปัจจุบัน

 

 

สิ่งสำคัญแต่ละกลุ่มที่ชาวบ้านจัดตั้งขึ้นล้วนมีรูปแบบต่อยอดเชื่อมโยงจากกิจกรรมเก่าสู่การดำเนินงานของกลุ่มกิจกรรมใหม่ทั้งสิ้น อีกทั้งการก่อตั้งกลุ่มบางกิจกรรมยังพึ่งพากันของคนในชุมชน รวมถึงการสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกชุมชนด้วย เช่น เมื่อเริ่มทำเกษตรผสมผสามพอเพียงเป็นต้นแบบการดำรงอยู่อย่างพึ่งพาตนเองแล้ว จากนั้นชุมชนจึงต่อยอดตั้งกองทุนหมู แล้วตั้งกองทุนยาเวชพันธุ์มาจัดการโรคหมู เมื่อชุมชนดำเนินงานมาสักระยะจนโด่งดัง หน่วยราชการและเอกชนมาศึกษาดูงานมากขึ้น จึงเกิดกองทุนศึกษาดูงาน เพื่อรวมสมาชิกทำอาหารไว้ต้อนรับผู้มาเยี่ยมชม โดยในแต่ละครั้งจะได้รับค่าอาหารกลางวัน 100-150 บาท/คน/มื้อ และคําอาหารว่าง 35-50 บาท/คน/มื้อ จึงทำให้ชุมชนมีรายได้จำนวนหนึ่ง และมีเงินสะสมเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้านบาท

 

อีกกรณีเป็นการพึ่งพากันของชุมชน คือ การตั้งกลุ่มวิสาหกิจโรงสีข้าวชุมชนเมื่อปี 2556 เพื่อต้องการให้คนในชุมชนนำข้าวมาสีฟรีเพื่อแลกกับรำ นำไปเลี้ยงหมู ไก่ เป็ด และสร้างรายได้ให้กับชุมชน ไม่ต้องออกไปหาซื้อข้างนอก แต่การก่อเกิดโรงสีชุมชนแห่งนี้ มีส่วนร่วมของหลายภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มได้ยืมเงินจากกองทุนศึกษาดูงาน 200,000 บาท เพื่อซื้อที่ดินสร้างอาคารโรงสี ขอยืมเงินกลุ่มหมู 20,000 บาท ในการติดตั้งระบบไฟฟ้าในอาคาร แล้ว อ.หนองวัวซอสนับสนุนวัสดุก่อสร้าง เทศบาลตำบลกุดหมากไฟสนับสนุนระบบวัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้า มูลนิธิพระดาบส และมูลนิธิปิดทองหลังพระ สนับสนุนเครื่องสีข้าว กระทั่งกลุ่มได้เริ่มดำเนินการสีข้าวในปี 2557 และจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนเมื่อปี 2558 ด้วยการจำหน่ายหุ้นให้สมาชิกหุ้นละ 100 บาท

 

การดำเนินงานของโรงสีประกอบด้วย การแปรรูปข้าวเปลือก การจำหน่ายรำ ปลายข้าว แกลบ รวมทั้งจัดซื้อข้าวเปลือกเข้าโรงสี และการบรรจุภัณฑ์เพิ่มมูลค่า เช่น การแปรรูปข้าวกล้อง ข้าวอินทรีย์ ส่วนการเดินเครื่องสีข้าว ควบคุมและดูแลซ่อมบำรุง มีการจัดจ้างสมาชิกของกลุ่มมาปฏิบัติงานที่โรงสีข้าววันละ 2 คน โดยให้ค่าตอบแทนร้อยละ 30 ของรายได้จากการขายรำ ปลายข้าว และแกลบ อีกทั้งให้มีคณะกรรมการสลับหมุนเวียนกันมาดูแลกิจการวันละ 1 คน

 

โรงสีข้าวแห่งนี้ได้มาตรฐาน GAP รับรอง พร้อมกับมีตลาดที่แน่นอนในการจำหน่ายให้โรงพยาบาลหนองวัวซอ อีกทั้งมียอดสั่งซื้อข้าวหอมมะลิ 105 เดือนละ 300 กิโลกรัม ส่วนการจัดสรรกำไรสุทธิประจำปีเมื่อถึงสิ้นปีทางบัญชีจะหักค่าใช้จ่าย และนำกำไรสุทธิมาจัดสรร โดยจัดสรรให้คณะกรรมการร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิประจำปี จัดสรรให้สมาชิกผู้ถือหุ้นร้อยละ 30 และจัดสรรให้กองทุนโรงสีข้าวชุมชนร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิประจำปี     

 

 

ยังมีการพึ่งพาช่วยเหลือในชุมชนทางด้านแลกเปลี่ยนให้ความรู้และถ่ายทอดการบริหารจัดการระบบการเงิน-การบัญชี เกี่ยวกับการบันทึกรายรับ/รายได้ รายจ่าย เงินคงเหลือ และการนำเงินฝากเข้าธนาคาร โดยกลุ่มที่มีความรู้ ความเข้าใจมากกว่าจะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่กลุ่มที่อ่อนแอกว่าผ่านการสอนและฝึกจนเข้าใจ เช่น กลุ่มวิสาหกิจโรงสีข้าวชุมชนและกลุ่มกองทุนการตลาดสอนการทำระบบบัญชีให้แก่กลุ่มกองทุนปุ๋ย กองทุนผู้ใช้น้ำ และกลุ่มปศุสัตว์ ซึ่งคณะกรรมการกลุ่มส่วนใหญ่เป็นผู้ชายไม่ถนัดเรื่องการทำการเงิน-การบัญชี

 

รวมถึง กลุ่มกิจกรรมในชุมชนมีการแลกเปลี่ยน ปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับแนวคิดการเป็นผู้นำที่ดี การทำงานกลุ่มเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายใน เช่น การเป็นผู้นำที่เปิดกว้างไม่ทำตัวเหนือผู้อื่น มีความเสียสละ มีความอดทน การรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น การไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น และการพูดคุยกันด้วยเหตุและผลเมื่อเกิดความขัดแย้งภายในกลุ่ม

 

คงกล่าวได้ว่า กระบวนการคิดต่อยอดและช่วยเหลือพึ่งพากันของชุมชน เป็นศักยภาพของทุนสังคมเดิมที่เป็นเครือญาติมาจากรุ่นสู่รุ่น จึงมีความสัมพันธ์ไปสู่เป้าหมายของชุมชนร่วมกัน คือการพึ่งตนเอง การมีรายได้ และลดรายจ่าย รวมถึงการนำทรัพยากรต่างๆ ในชุมชนมาสร้างประโยชน์ จนนำไปสู่การจัดทำข้อตกลงร่วมกันและก่อตั้งกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งสิ้น 8 กลุ่ม (จากการยุบรวม 10 กลุ่มเดิม)

 

ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ประกอบการใหม่ของชุมชนบ้านโคกล่าม-แสงอร่าม ยังยกระดับกลุ่มกิจกรรมไปถึงขั้นสัมพันธ์กับตลาดนอกชุมชน โดยต่อยอดบทบาทของกลุ่มกองทุนตลาดไปสู่การเป็น“กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์ภูธารา” ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เข้ามาร่วมหนุนเสริมเป็นพี่เลี้ยงหลักในการสนับสนุนการบริการความรู้ด้านวิชาการ การจัดอบรมการแปรรูปผลิตภัณฑ์/การออกแบบปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งยังสนับสนุนวัสดุสร้างโรงเรือนแปรรูปผลิตภัณฑ์แบรนด์ “ภูธารา” จนได้รับตรา อย. ในผลิตภัณฑ์แปรรูปอย่าง ข้าวปลอดสารพิษ กล้วยตาก กล้วยกรอบ ข้าวแต๋น เป็นที่ยอมรับจากตลาดอย่างน่าพึงพอใจ

 

 

ดังนั้น กลุ่มกิจกรรมชุมชนทั้ง 8 กลุ่มแล้วขยับตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตภัณฑ์ภูธารา ได้กลายรูปของคนชนบทเดิมที่ทำเกษตรอินทรีย์ผสมผสานพอเพียงจนชุมชนต่อยอดเป็นวิถีการผลิตของ “ผู้ประกอบการชนบทใหม่” ขึ้นมา ด้วยการสร้างเครือข่ายในแนวระนาบระหว่างกลุ่มกิจกรรมที่เชื่อมสัมพันธ์ดั้งเดิมกันจากการเติบโตแบบเครือญาติในชุมชนจนมีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีการเกี่ยวพันได้รับการสนับสนุนส่งเสริมของหน่วยงานรัฐ

 

ถึงที่สุดแล้ว บ้านโคกล่าม-แสงอร่าม ได้เป็นพื้นที่ชนบทที่ขยับผสมผสานกับปัจจัยการเปลี่ยนใหม่ของสังคมและเริ่มทะยานสู่ชุมชนผู้ประกอบการชนบทใหม่ที่ไม่หยุดนิ่ง แต่เป็นพื้นที่งดงามตามแบบวิถีการผลิตของผู้ประกอบการชนบทใหม่ที่ผสมผสานชีวิตเงียบสงบ และยึดมั่นคุณค่าวัฒนธรรมชนบทเดิมๆ เอาไว้ในชีวิต


 

ติดตามมูลนิธิสัมมาชีพได้ที่

https://www.facebook.com/sammachiv

https://www.facebook.com/chumchonmeedee

https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods

https://www.instagram.com/sammachiv/

Back To Top