skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
จับมือกันไว้  คนเลี้ยงหมูอีสานรายย่อย  สิไปต่อก็อย่าทิ้งกัน 

จับมือกันไว้ คนเลี้ยงหมูอีสานรายย่อย สิไปต่อก็อย่าทิ้งกัน 

จับมือกันไว้

คนเลี้ยงหมูอีสานรายย่อย

สิไปต่อก็อย่าทิ้งกัน 

ในเวทีสัมนาคนเลี้ยงหมูรายย่อยของภาคอีสานครั้งที่ 1 เมื่อ 15 ม.ค. ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกที่พูดถึง เชื้อ ASF ได้เต็มปากอย่างจริงจัง เพื่อกอบกู้อนาคตคนเลี้ยงหมู เมื่อโจทย์ใหญ่คือ ไทยยังไม่มีวัคซีน แม้“ระบบไบโอซีเคียวริตี้” (Bio Security System) จะถูกโหมประโคมให้เป็นทางรอด แต่เกษตรกรรายย่อยคนเลี้ยงหมูไม่เงินเป็นล้านบาทลงทุนแล้วจะมีสิทธิ์เลือกได้หรือไม่

 

 

คำถามในเวทีสัมนามีว่า ไบโอ 1.0  ไบโอ 2.0 และ ไบโอ 3.0 ที่พวกเขาพอทำได้จะเป็นอย่างไร ใช้ต้นทุนสูงแค่ไหน ยิ่งทำฟาร์มแบบปิดตามมาตรฐาน GMP ต้องใช้เงินทุนหลายล้านบาท อีกทั้งยังต้องจับตาการเสี่ยงเลี้ยงหมูในรอบใหม่ ขณะที่ภาพหมูทยอยตายยกคอกยังตามหลอกหลอนอยู่ ดังนั้น หลังจากปิดคอกเว้นวรรคการเลี้ยงหมูมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังสร้างหวาดผวา ด้วยเหตุนี้โรคระบาด ASF จะเปลี่ยนแปลงระบบการเลี้ยงหมูของประเทศ ซึ่งเป็นอนาคตที่เกษตรกรรายย่อยจำเป็นต้องรับตัวเพื่อให้อาชีพอยู่รอดได้

 

คนเลี้ยงหมูรายย่อยต้องไม่ทิ้งกัน

“พลอยไพฑูรย์ ธุระพันธ์” จากสำนักข่าว Thai PBS รายงานว่า เสียงติติงของคนเลี้ยงหมูอีสาน ทั้งรายย่อย ฟาร์มเล็กและกลาง ในวงสัมนามีความกังขากับมาตรการควบคุมโรคระบาดหมูที่ล้มเหลวของหน่วยงานรัฐมาต่อเนื่องถึง 3 ปีว่า เอาไม่อยู่เพราะอะไร  และถึงตอนนี้ดูเหมือนพวกเขายอมรับถึงการเลยจุดต้องโยนความผิดให้ใครแล้ว จึงเหลือหนทางเดียวคือช่วยตัวเอง เริ่มจากกลับมาทบทวนว่า หากจะทำอาชีพเลี้ยงหมูต่อ พวกเขาต้องเริ่มต้นอย่างไร และจะแน่ใจต่อมาตรการรัฐในการสร้างความมั่นใจให้เดินหน้าทำอาชีพนี้ต่อได้แค่ไหน

 

 

 

มีการถามไถ่ตามสำเนียงเสียงท้องถิ่นว่า “สิไปต่อ หรือพอส่ำนี้” ส่อถึงการแลกเปลี่ยนแบบหาความมั่นใจจากกลุ่มก้อนร่วมอาชีพคนเลี้ยงหมูภาคอีสานว่า จะหยุดแค่นี้ หรือจะกลับมาเลี้ยงต่อรอบใหม่ และต้องพักคอกนานแค่ไหน หากจะเริ่มเลี้ยงใหม่จะทำอย่างไร ก้าวแรกมีข้อเสนอในเชิงรูปธรรม อยากให้กลุ่มผู้เลี้ยงหมูทั้ง 20 จังหวัดภาคอีสานรวมตัวกัน ตั้งเป็นชมรมในแต่ละจังหวัด เพื่อสำรวจจัดทำฐานข้อมูลฟาร์มหมู คอกหมูเกษตรกรรายย่อย

 

ส่วนธุรกิจภาคเอกชนต้องช่วยกันเอง เพราะจะรอภาครัฐอย่างเดียวไม่ได้ แต่ละจังหวัดต้องสำรวจฟาร์มหมูที่ยังปลอดโรค ฟาร์มที่ติดแล้วแต่ยังมีหมูบางตัวที่รอดแบบ “หมูอึด” ที่นักวิชาการกำลังศึกษา และฟาร์มที่ตายยกคอก ใครจะเริ่มเลี้ยงต่อ ต้องสร้างกลุ่มก้อนคนเลี้ยงหมู เพื่อกระจายหมูแม่พันธุ์กันในกลุ่มผู้เลี้ยง ข้อสรุปเชิงมอบกำลังใจแก่กันและกันคือ คนเลี้ยงหมูรายย่อย ฟาร์มเล็ก-กลาง ต้องไม่ทิ้งกัน

 

สิไปต่อ หรือพอส่ำนี้ 

ในการสัมนาครั้งนี้ เกษตรกรรายย่อยเลี้ยงหมู บอกความในใจช่วงที่หมูจังหวัดอื่นล้มป่วยและทยอยตายไปที่ละคอก มีคนหนุ่มสาวเป็นเซลล์ขายยา-อาหารหมูอยู่เคียงข้าง ซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ที่มีไม่เพียงพอ คนหนุ่มสาวเหล่านี้มาแนะนำบอกให้กางมุ้งคอกหมู ฉีดยาฆ่าเชื้อ ก่อนนำหมูเข้าคอกต้องอาบน้ำ คนเลี้ยงใส่รองเท้าบูท รักษาความสะอาด พร้อมผลักดันให้มาร่วมสัมนา มาเรียนรู้วิธีเลี้ยงหมูเพื่อไม่ให้หมูติดโรค

 

เกษตรกรชาวจังหวัดร้อยเอ็ด ที่เลี้ยงหมู 20-30 ตัว บอกว่า หมูบางคอกไม่ได้ติดเชื้อ ถือว่าโชคดีมาก เพราะได้ขายหมูโลละ 90-100 บาท ที่สำคัญ พ่อค้าคนกลางมักมาตระเวณซื้อหมูจากคอกตามบ้านนอกส่งโรงเชือด และเขียงเนื้อ เพราะซื้อในราคาถูกกว่าหมูของฟาร์มใหญ่ๆ 10-20 บาท หมูจากคอกเล็กๆ จึงมีความสำคัญในกลไกตลาดระดับชุมชน

 

 

ส่วนคอกที่หมูตายหมดแล้ว หลายคนบอกว่า อยากกลับมาเลี้ยงใหม่ เพราะอยากมีรายได้ มีเงินใช้หนี้ พวกเขาบอกว่าไม่อยากกู้ใหม่ แม้ภาครัฐจะปล่อยกู้ เพราะไม่อยากเป็นหนี้เพิ่มอีกแล้ว แต่อยากได้เงินเยียวยา หากจะให้พวกเขากลับมาเลี้ยงหมูใหม่ เพิ่มปริมาณหมู เพื่อให้ราคาเนื้อหมูถูกลง ต้องเร่งจ่ายเงินเยียวยา 

 

แล้วเงินเยียวยาหมูไปถึงไหนแล้ว มีข้อมูลว่า กรณีปศุสัตว์สั่งทำลายหมูก่อนหน้านี้จนถึง 22 มี.ค. 2564 ได้รับเงินแล้ว ส่วนสั่งทำลายตั้งแต่ 23 มี.ค.-15 ต.ค. 2564 จะได้รับเงินเร็วๆนี้ ซึ่งไม่น่าเกิน 3 เดือนหลัง ครม.อนุมัติงบกลางแล้ว 574 ล้านบาท เมื่อ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา

 

สำหรับสั่งทำลายหมูตั้งแต่ 16 ต.ค. 2564 ถึงปัจจุบัน อยู่ระหว่างเร่งรวบรวมข้อมูลทั่วประเทศ เพื่อเสนอต่อ ครม. อนุมัติงบกลางเพิ่ม เพราะนายกรัฐมนตรี สั่งกระทรวงการคลังเร่งรัดเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้เกษตรกรมีเงินทุนไปเริ่มเลี้ยงหมูใหม่ ดังนั้น ระหว่างรอเงินเยียวยา เกษตรกรควรถือว่าเป็นช่วงที่ต้องพักคอก ฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ บางคนใช้ฟางเผาในคอกเพื่อฆ่าเชื้อโรคด้วย

 

หากจะเลี้ยงหมูรอบใหม่ เกษตรกรได้รับคำแนะนำจากเซลล์ขายยา-อาหารสัตว์ ว่า พวกเขาอาจต้องปรับสูตรอาหาร ใช้สูตรที่มียาผสม หรือ ใช้ยาที่นำมาผสมอาหารให้หมูกิน เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน นั่นหมายถึงต้นทุนก็ต้องเพิ่มสูงขึ้นอีกกระสอบละ 1.6 หมื่นบาท เพื่อพัฒนาตามแบบฟาร์มใหญ่จีงอาจรอดจากโรคระบาดหมู

 

ขณะที่เสียงสะท้อนจากเกษตรกรยืนยันว่า พวกเขารู้ดีว่า หากจะกลับมาเลี้ยงหมูรอบใหม่ ต้องกล้าลงทุนเพื่อให้หมูสุขภาพดี และต้องปรับปรุงคอกให้ดี และสะอาดขึ้น ให้ปลอดเชื้อโรค ส่วนเกษตรกรรายย่อยหลายคน ที่เลี้ยงหมูเองขายเอง แล้วตายเพราะโรคระบาด เริ่มสนใจโครงการ “สุกรขุนประกันตลาด” ของ CPF เพราะกลัวว่าจะเจอปัญหาหมูตายยกคอกซ้ำรอย

 

“พวกเขาอยากมีพี่เลี้ยง คอยแนะนำดูแล ใช้ยาใช้อาหารเสริมให้หมูแข็งแรง เวลาขายมีการประกันราคา การเข้าร่วมโครงการกับบริษัทที่น่าเชื่อถืออาจเป็นทางเลือกที่ดี เพราะการเลี้ยงหมูแบบบ้านๆ ที่เคยทำกันมา อาจไม่ทำให้รอดจากโรคระบาด”

 

เริ่มเลี้ยงหมูใหม่ต้องทำยังไง

ในเฟซบุ๊ก กลุ่มผู้เลี้ยงหมูภาคอีสาน โพสต์ภาพ “เซิงหมู” หรือการผสมพันธุ์หมู สะท้อนความหวัง ของคนเลี้ยงหมู โดยระบุรายละเอียดว่า หลังผสม 3 เดือนลูกหมูคลอดออกมา เลี้ยงต่ออีก 4-6 เดือน ก็ขายได้เงิน หากราคาหมูยังดีแบบนี้ เกษตรกรก็มีความหวัง

 

เฟซบุ๊กกลุ่มผู้เลี้ยงหมูภาคอีสาน เป็นอีกหนึ่งสื่อสังคมออนไลน์ที่ถูกใช้เพื่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้เลี้ยงหมู นอกจากการโพสต์เพื่อหาพ่อพันธุ์ผสมหมูแล้ว ยังมีการขายลูกหมู แม่พันธุ์หมู เพื่อให้เกษตรกรที่สนใจกลับมาเลี้ยงหมูหลังเกิดโรคระบาด

“เริ่มออกเซิงหมูแล้วครับ ไทบ้านเพิ่นโทรนำ หลังหมูตายเหมิดคอก พักคอกมาอย่างต่ำก็ 6 เดือนแล้ว เพิ่นอยากเลี้ยงหมูรอบใหม่ เพิ่นหวังอยากขายหมู อยากมีเงินใช้”

 

 

เจ้าของพ่อพันธุ์หมู ในจังหวัดร้อยเอ็ด บอกว่า ได้เวลาของการเริ่มต้นเลี้ยงหมูรอบใหม่แล้ว หลังเกษตรกรรายย่อยพักคอกนาน 6 เดือน หลายคนต้องสูญเสียหมูตายยกคอก ต้องฆ่าเชื้อ และพักคอก เมื่ออยากกลับมาเลี้ยงใหม่ ก็เริ่มเลี้ยงจำนวนน้อยๆ ก่อน เพราะกลัวว่าหมูจะตายซ้ำรอย

 

ขณะที่เกษตรกรบางส่วนเริ่มแสวงหาความรู้ในการเลี้ยงหมูรอบใหม่ เพื่อรับมือกับโรคระบาด ที่เกษตรกรได้รับรู้เป็นครั้งแรกจากสัตวแพทย์ CPF มาเล่าในเวทีสัมมนาของกลุ่มคนเลี้ยงหมู โดยสรุปว่า แม้เชื้อที่ระบาดในช่วงปี 2564 และทำให้หมูตายจำนวนมากเป็นเชื้อมีความคงทนสูง แต่การอาบน้ำที่ดีกำจัดเชื้อโรคจากผู้เลี้ยงออกหมดได้

 

อีกอย่างการติดเชื้อทางตรง จากการรับลูกสุกรสาว / สัมผัสสัตว์ป่วย สิ่งคัดหลั่งจากสัตว์ติดเชื้อ เช่น การผสม เช็คสัด และฉีดยา รวมทั้งการติดเชื้อทางอ้อมจากสัมผัสกับสิ่งปนเปื้อนเชื้อ ผ่านคน รถ อุปกรณ์ และสัตว์พาหะ มีความเสี่ยงติดเชื้อในบางพื้นที่ถึง 86% นอกจากนี้ หมูยังติดเชื้อจากคนเข้าฟาร์ม 43 % คือ รถขนหมูเป็น

 

สิ่งสำคัญการติดเชื้อช่วงแรกๆ อาการไม่ชัดเจน ถ้าแสดงอาการชัดเจนแล้วบอกถึงติดเชื้อมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งฟาร์มใหญ่ รู้เร็ว จัดการเร็ว จบเร็ว มีห้องแล็บตรวจเชื้อ และทำระบบปิดโดยฟาร์มใหญ่ใช้เงินทุนสูง แต่ชาวบ้านเลี้ยง 20-30 ตัว ไม่มีเงินทุนทำเหมือนฟาร์มใหญ่ แค่ล้อมรั้วให้มิดชิด ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 2-3 หมื่นบาท แต่เลือกทำฟาร์มอยู่ห่างจากชุมชน รักษาความสะอาด ตัดหญ้า กางมุ้ง ที่สำคัญคืออาบน้ำก่อนเข้าคอกหมูทุกครั้ง

 

สำหรับคนเลี้ยงหมูในระบบเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) ในจังหวัดขอนแก่น หลายคนบอกว่า พวกเขาอาบน้ำบ่อยมาก ระบบฟาร์มเข้มงวดการอาบน้ำ ฆ่าเชื้อก่อนเข้าฟาร์ม และบริษัทสั่งห้ามคนในครอบครัวเดียวกันเลี้ยงหมู ทำฟาร์มหมูเหมือนกัน เพราะเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์ม

 

ถึงที่สุดคงมีเกษตรกรรายย่อยเลี้ยงหมูภาคอีสานน้อยรายจะตัดสินใจ “พอส่ำนี้” ส่วนใหญ่คงตัดสินใจ “สิไปต่อ” เพราะสิ่งนี้เป็นอาชีพที่ควบคู่การการเกษตร เป็นรายได้ในการยังชีพของครอบครัว แต่การเลี้ยงหมูท่ามกลางความหวาดผวาโรคระบาด ASF คนเบี้ยน้อยหอยน้อยคงต้องปรับระบบความปลอดภัย แม้เป็นความเสี่ยง แต่ความอยู่รอดยังต้องเดินหน้าไปหาอนาคตกันใหม่

 


ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:

 

 

https://www.facebook.com/sammachiv

https://www.facebook.com/chumchonmeedee

https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods

 

 

Back To Top