skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
สภาพ กทม.เริ่มเปิดประเทศ โอกาสเสี่ยง-ฟื้น

สภาพ กทม.เริ่มเปิดประเทศ โอกาสเสี่ยง-ฟื้น

สภาพ กทม.เริ่มเปิดประเทศ

โอกาสเสี่ยง-ฟื้น

 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทำหน้าตาขึงขังประกาศเมื่อ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยยกเหตุผลผสมข้ออ้างโน้มน้าวการเปิดประเทศเริ่ม 1 พ.ย.นี้ ในรหัส “นำเศรษฐกิจอยู่ร่วมโควิด” ในพื้นที่ 17 จังหวัดนำร่อง พร้อมยอมรับว่า แม้จะเสี่ยงเกิดโควิดเพิ่มมากขึ้น แต่โอกาสเป็นเงินเป็นทองมาถึงจึงต้องเสี่ยง”…อะไรประมาณนี้

 

 

บัดนี้ รัฐบาล-ศบค. งัดมาตรการคุมโควิดและผ่อนคลายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยสั่งเลิกเคอร์ฟิวและให้ทำกิจกรรมชีวิตได้ตามปกติทั้งประเทศ ยกเว้นพื้นที่สีแดงเข้มควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 7 จังหวัด ประกอบด้วย จันทบุรี ตาก นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา

 

อีกทั้งยังยกให้พื้นที่ 4 จังหวัดจาก 17 จังหวัดนำร่องเปิดประเทศเป็นพื้นที่ “สีฟ้า”สามารถขายและดื่มสุรา-แอลกอฮอล์ที่ร้านได้ คือ กรุงเทพฯ กระบี่ พังงา และภูเก็ต ส่วนอีก 13 จังหวัดที่เหลือไม่อนุญาตให้ดำเนินการได้ คงได้แค่เลิกเคอร์ฟิวและดำเนินกิจกรรมบ้างด้านได้มากขึ้น ซึ่งชีวิตยังไม่ปกติอยู่ดี

 

 

กทม.คุมดื่มเหล้า 3 ทุ่ม

ยังไม่มีเสียงจาก 17 จังหวัดนำร่องออกมาประกาศความพร้อมรับมือนักท่องเที่ยวต่างชาติ คงมีเพียงกรุงเทพและภาคเอกชนประกาศสนับสนุน เตรียมมาตรการรองรับเปิดประเทศตามนโยบายนำเศรษฐกิจอยู่ร่วมโควิดของรัฐบาล

 

ท่าทีจากกรุงเทพ ออกประกาศฉบับ 45 ซึ่งยึดคำสั่ง ศบค.ไฟเขียวให้ดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้ไม่เกิน 21.00 น. เฉพาะร้านที่ผ่านมาตรฐาน SHA เท่านั้น เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวและประชาชน ส่วนสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ อาบอบนวด ร้านเกม ร้านอินเทอร์เน็ต ตู้เกม สนามชนไก่ สนามซ้อมชนไก่ สนามชนโค สนามกัดปลา และสนามม้า รวมทั้งห้ามการจัดกิจกรรมรวมกลุ่มบุคคลเกิน 1,000 คน ยังคงให้ปิดดำเนินการ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสำนักอนามัย กทม.

 

ปัจจุบันสถานประกอบการในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ได้รับมาตรฐาน SHA และ SHA Plus จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 29 ต.ค. 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,544 แห่ง แยกเป็นภัตตาคาร/ร้านอาหาร ซึ่งสามารถดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้ไม่เกิน 21.00 น. ตามมาตรฐาน SHA ประมาณ 1,356 แห่ง

ผู้ประกอบการพร้อมแบ่งรับแบ่งสู้

นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจบนถนนข้าวสาร บอกว่า ในช่วงปกติธุรกิจบนถนนข้าวสารมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสะพัดประมาณ 200 ล้านบาทต่อเดือน เมื่อเกิดโควิดระบาดมา 2 ปี ธุรกิจเปิดแค่บริการคนไทยเพื่อหารายได้จ้างแรงงานเท่านั้น ส่วนการเปิดประเทศนั้น ในสองเดือนแรก (พ.ย.-ธ.ค.) คงมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาพักหรือเที่ยงถนนข้าวสารไม่มาก เฉพาะกิจการของตนมีนักท่องเที่ยวยุโรปจองมาเพียง 5 รายเท่านั้น

 

สำหรับธุรกิจบนถนนข้าวสาร ขณะนี้มีแหล่งบันเทิงขายอาหารและเครื่องดื่มพร้อมเปิดประมาณ 20-30 ร้าน หรือประมาณ 70% ส่วนแหล่งบันเทิงกลางคืนแบบดื่ม เต้น คงยังไม่เปิดต้องรอความมั่นใจในสถานการณ์ก่อน แต่ร้านขายสิ่งของที่ระลึกและร้านนวด สปา คงทยอยเปิด

 

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจบนถนนข้าวสารยังมีมาตรการคุมโควิดเข้มงวด โดยผู้ประกอบการจะห้ามผู้ใช้บริการยืนเดินร่วมกลุ่มหรือลุกขึ้นเต้น นอกจากนี้ผู้ให้บริการต้องฉีดวัคซีนครบโดส ตรวจเชื้อ ATK ประจำ พร้อมทั้งใส่แมสก์ตลอดการให้บริการ

 

สิ่งสำคัญนายสง่า เสนอแนะให้รัฐบาลลดค่าประกันภัยกับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อส่งเสริมให้มาเที่ยวไทยมากขึ้น โดยอยากให้ลดจาก 5 หมื่นเหรียญต่อคนเหลือ 2-3 หมื่นเหรียญต่อคน รวมทั้งรัฐบาลควรหามาตรการสนับสนุนให้เกิดตลาดการท่องเที่ยวในประเทศขึ้นมาแทนด้วย เพราะเชื่อว่าในปลายปี 2564 ถึงต้นปี 2565 การท่องเที่ยวยังต้องพึ่งคนไทยมากกว่าคนต่างชาติ ขณะเดียวกันควรส่งเสริมศิลปินคนไทยมาสนับสนุนการท่องเที่ยวจะคุ้มค่าใช้จ่ายมากกว่า

 

สอดคล้องกับความเห็นของ นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ที่เรียกร้องให้ดื่มสุรา แอลกอฮอล์ในร้านหรือโรงแรมได้อย่างถูกต้อง เพราะจะเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นอีก 20% เป็น 70% นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมการลักลอบดื่มแอลกอฮอล์ในโรงแรมตามที่ปรากฎเป็นข่าวช่วงที่ผ่านมาด้วย

 

 

ขณะที่ ผู้ประกอบการรถเช่า โดยนายวสุเชษฐ์ โสภณเสถียร นายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วประเทศ บอกว่า การเปิดประเทศช่วงสองเดือนแรกจะมีรถเช่าเหมามาบริการประมาณ 30% จากทั้งหมดทั่วประเทศ 40,000 คัน ส่วนที่เหลือต้องปรับปรุงซ่อมแซม ซึ่งจะใช้เงินมากถึง แสนบาทต่อคัน และเชื่อว่าตั้งแต่ต้นปี 2565 สถานการณ์รถเช่าจะกลับมาเป้นปกติ

 

ตรวจ“สภาพ” กทม.รับเปิดประเทศ

ข้อมูลจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เมื่อ 25 ต.ค. 2564 ระบุจำนวนนักท่องเที่ยงต่างชาติเข้ามาไทยในเดือน ม.ค.-ก.ย.มีจำนวน  485,287 คน ซึ่งลดลงจากปี 2563 ถึง 96%

 

ขณะเดียวกันทั้งประเทศมีรายได้จากท่องเที่ยว 143,072 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปี 2563 ถึง 77% และในจำนวนนี้แยกเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติแค่ 10,390 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ถึง 96% ดังนั้น จึงสะท้อนถึงรายได้หลักจากการท่องเที่ยวย่อมมาจากคนไทยเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับภาคธุรกิจเรียกร้องให้รัฐบาลหามาตรการส่งเสริม

 

สำหรับกรุงเทพ เป็นพื้นที่สีฟ้าใน 4 จังหวัดแล้ว นั่นอธิบายปรากฎการท่องเที่ยวของกรุงเทพได้ชัดเจนว่า เป็นแหล่งทำรายได้เข้าประเทศมาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อโควิดระบาดทำรายได้ท่องเที่ยวสูญหายไปอย่างมาก ในเดือน ม.ค.-ก.ย.ปี 2564 ข้อมูลระบุว่า มีรายได้จากผู้มาเยือน 44,622 ล้านบาท แยกเป็นรายได้จากคนไทยเที่ยว 38,294 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 6,328 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างชาติในกรุเทพ 334,200 คน

 

นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเที่ยววัดพระแก้ว หลังจากหนังเรื่อง Lost in Thailand ออกฉายทำให้กระแสการท่องเที่ยวเมืองไทยเป็นที่นิยมมากขึ้นในหมู่คนจีน

 

ถ้าเปรียบเทียบกับรายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเดียวกันปี 2563 แล้วลดลงถึง 94% ส่วนรายได้จากคนไทยลดลง 61% สิ่งเหล่านนี้ สะท้อนว่าในช่วงโควิดระบาดนั้น นักท่องเที่ยวคนไทยเป็นแหล่งรายได้สำคัญที่หล่อเลี้ยงให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวสามารถประคองตัวเองได้อย่างมีนัยสำคัญกว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวกรุงเทพ

 

จากจำนวนและรายได้ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาไทย และเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพที่มีจำนวนเล็กน้อย ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากอุปสรรคการระบาดของเชื้อโควิดและฉีดวัคซีนยังได้จำนวนน้อย ส่วนปัจจุบัน ข้อมูลจาก 18 ต.ค.ถึง 31 ต.ค. ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มรวม 21,552 คน เฉลี่ยติดเชื้อเพิ่ม 1,539 คนต่อวัน และมียอดการฉีดวัคซีนเข็มสองเมื่อ 30 ต.ค. อยู่ที่ 77% ซึ่งเข้าเกณฑ์สร้างภูมิคุ้มกันส่วนรวมได้

 

 

 

ถึงที่สุดแล้ว การเปิดประเทศครั้งนี้ กรุงเทพ ถูกยกระดับให้เป็นพื้นที่ “สีฟ้า” ไม่มีเคอร์ฟิว ร้านอาหารสามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้ถึง 21.00 น. จึงเป็นเป้าหมายสำคัญในการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยได้เป็นกอบเป็นกำ แต่สภาพที่ถูกโควิดระบาดหนักมา 2 ปีทำให้ทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและรายได้สูญหายไปอย่างมาก

 

ดังนั้น สภาพของกรุงเทพคงยากจะพลิกฟื้นดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับมาได้ในช่วงปลายปี 2564 และต่อเนื่องถึงต้นปี 2565 โดยข้อมูลนักท่องเที่ยวเดือน ม.ค.-ก.ย.ปี 2564 เป็นสิ่งบ่งชี้ได้อย่างสำคัญว่า โอกาสทองจะฟื้นเศรษฐกิจได้จริงหรือ

 

สิ่งที่วิตกอย่างยิ่งคือ “เปิดประเทศ” จะสร้างโอกาสเป็นเงินเป็นทองหรือจะซ้ำเติมให้การแพร่ระบาดโควิดได้มากกว่ากัน สภาพความน่าห่วงนี้คงต้องจับตาดูอย่ากะพริบ และอย่าใช้ชีวิตประมาทโควิดในยามเปิดประเทศเป็นอันขาด

 


ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:

https://www.facebook.com/sammachiv

https://www.facebook.com/chumchonmeedee</a

https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods

 

 

Back To Top