skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
อย่าชะล่าใจฝนเดือนตุลา เร่งรับมือพายุ 3 ระลอกใหม่
Communication chat icon above cityscape in the night light of the city.

อย่าชะล่าใจฝนเดือนตุลา เร่งรับมือพายุ 3 ระลอกใหม่

อย่าชะล่าใจฝนเดือนตุลา เร่งรับมือพายุ 3 ระลอกใหม่

ประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมหลายรายคลายเครียดกับน้ำเจิ่งนองบ้านด้วยการทำคลิปสวดมนต์ไล่พายุตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แนะนำแบบทีเล่นทีจริง แต่พายุไม่กลัวกลับตั้งท่าจะมาอีก 3 ระลอกใหญ่ในเดือนตุลาคมนี้ แล้วจะมีมุกอะไรมาให้ประชาชนเล่นอีกละที่นี้

ในเดือนตุลาคม แทบทั้งเดือนพายุตั้งท่ามาถล่มอีกหลายชุด เริ่มจากดีเพรสชั่นตามการคาดการณ์จะเข้ามาวันที่ 7-9 เว้นระยะห่างให้สูบน้ำระบายกันได้บ้าง แล้วพายุหลิ่นฟาก็เข้ามาวันที่ 11-16  และตามด้วยพายุดานังในวันที่ 17-20 ดังนั้น เชื่อกันว่า เดือนตุลาคมต้องสวดมนต์กันทั้งเดือนเพื่อไล่พายุ คงมีคลิปแซวคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีว่อนในโซเซียลมีเดียให้คลายเครียดกันอีกหลายชุด อย่างนี้ละ “คำพูด เมื่อพูดแล้ว มักเป็นนายคนพูดเสมอ”

 

ในสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกรัฐบาล เชื่อว่า กรมชลประทานได้พร่องน้ำไปเก็บกักแก้มลิง อีกทั้งเร่งระบายนำเจ้าพระยาเพื่อรองรับน้ำจากพื้นที่ตอนบน ซึ่งกำลังทยอยไหลลงมาพื้นที่ลุ่มต่ำ ขณะเดียวกันยังฟันธงกึ่งปลอบให้สบายใจว่า ปีนี้น้ำไม่ท่วมใหญ่เหมือนปี 2554 อย่างที่เป็นห่วงกันแน่นอน

 

ดังนั้น น้ำจะท่วมใหญ่เท่าปี 2554 หรือไม่ก็ตาม แต่ร่องรอยน้ำท่วมสุโขทัย ลพบุรี เรื่อยมาอยุธยา ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2564 นั้นล้วนมาจากน้ำที่ถูกระบายจากเขื่อนเจ้าพระยา และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เพื่อไปออกทะเลและอ่าวไทย ซึ่งยังไม่รวมน้ำฝนตกท้ายเขื่อนอย่างจริงจัง แน่ละสถานการณ์แบบนี้คือ น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 อาการหวั่นวิตกหมู่ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

 

เมื่อ 2 ตุลาคม 2564 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลพายุ ‘เตี้ยนหมู่’ ในช่วงวันที่ 23 กันยายน – 1 ตุลาคม 2564 เกิดอุทกภัยใน 31 จังหวัด รวม 195 อำเภอ 1,001 ตำบล 6,909 หมู่บ้าน 1 เขตเทศบาล ประชาชนได้รับผลกระทบ 264,210 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 8 ราย (ลพบุรี 6 ราย, เพชรบูรณ์ 1 ราย และชัยนาท 1 ราย) สูญหาย 1 ราย (เพชรบูรณ์ 1 ราย)

สำรวจทางระบายน้ำลงเจ้าพระยา

สุโขทัยเผชิญวิกฤตน้ำท่วมขังในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองสุโขทัย, ศรีสำโรง และคีรีมาศ แม้ระดับน้ำเริ่มลดลง แต่น้ำท่วมสุโขทัยปีนี้เกิดจากสาเหตุแตกต่างจากเดิม คือน้ำยมไม่ได้ท่วมล้นตลิ่งเนื่องจากมีผนังกั้นน้ำสูง 3 เมตรมาขวางสกัดไว้

 

อีกทั้งน้ำท่วมสุโขทัยปีนี้ว่าเกิดจากฝนตกหนักจนเกิดการท่วมขังในพื้นที่ และน้ำจากอำเภอใกล้เคียงทางฝั่งตะวันตก เช่น อ.ทุ่งเสลี่ยม อ.บ้านด่านลานหอย ไหลหลากมาสมทบจำนวนมาก ส่วนจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งได้รับผลกระทบน้ำท่วมขังใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอวังทอง, พรหมพิราม และบางระกำ

 

ดังนั้น เมื่อน้ำไหลรวมกับแม่น้ำน่านที่นครสวรรค์ และบรรจบกับแม่น้ำปิงและวังที่ไหลมาจากตากและกำแพงเพชร ก่อนไหลกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านอุทัยธานี เขื่อนเจ้าพระยา ชัยนาท สิงห์บุรี, อ่างทอง และไปชนกับแม่น้ำป่าสักที่อยุธยา แล้วมุ่งมาสู่กรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อหาทางออกสู่อ่าวไทย

 

สำหรับปริมาณน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์นั้น มาจากแม่น้ำป่าสักที่ไหลผ่านเพชรบูรณ์และลพบุรี โดยขณะนี้ลพบุรียังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองลพบุรี, ชัยบาดาล และบ้านหมี่

 

เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีพื้นที่เก็บน้ำทั้งหมด 960 ล้าน ลบ.เมตร เขื่อนแห่งนี้เพื่อชะลอการไหลของน้ำจากแม่น้ำป่าสัก ก่อนที่จะไหลผ่านจังหวัดสระบุรี และลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณจังหวัดอยุธยา และเข้ากรุงเทพและปริมณฑลก่อนหาทางออกสู่อ่าวไทย ขณะนี้มีรายงานว่า ปริมาณน้ำเกินความจุแล้ว

 

นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิเพื่อการบริหารจดการน้ำอย่างบูรณาการ บอกความกังวลผ่าน THE MATTER ว่า หากฝนตกท้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อาจทำให้ไม่สามารถกันน้ำไว้ที่เขื่อนก่อนไปรวมที่จังหวัดอยุธยา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอผักไห่, เสนา, บางบาล, อำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยา และบางไทร

 

พายุเดือนตุลาฯ ชี้วัดท่วม กทม.!?

มีรายงานว่า เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ยังคงเพิ่มการระบายน้ำต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 หลังปริมาณน้ำเกินความจุทะลุ 100 % โดยล่าสุดเมื่อ 1 ตุลาคมปริมาณน้ำอยู่ที่ 1,027.27 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 107.01 % ของความจุปกติที่ 960 ล้าน ลบ.เมตร

 

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเปิดประตูระบายน้ำทั้ง 7 บาน เพื่อระบายน้ำลงท้ายเขื่อนอยู่ที่ 104.276 ล้าน ลบ.เมตรต่อวัน เนื่องจากปัจจุบันยังมีน้ำเหนือไหลลงมาสมทบน้ำในเขื่อนในปริมาณมาก ดังนั้นส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อน ในพื้นที่ชุมชนบ้านหนองบัว และ ชุมชนบ้านแก่งเสือเต้น มีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นอีก 50 เซนติเมตร ปัจจุบันเป็น 1 เมตร 70 เซนติเมตร รวมทั้งลามก่อผลกระทบต่อพื้นที่ กทม.และปริมณฑลอย่างน่าวิตกยิ่ง

รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต บอกว่า ถ้าน้ำเหนือหลากมาในปริมาณเกิน 3,500 ลบ.เมตร โอกาสที่จะทำให้ กทม.ท่วมขังมีความน่าจะเป็นสูง โดยปี 2554 มีการระบายน้ำมากถึง 3,800 ลบ.เมตร จึงเกิดปัญหา โดยขณะนี้กำลังปล่อยน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 3,000 ลบ.เมตร และยังมีเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เร่งระบายเพื่อรับพายุลูกใหม่ มวลน้ำจึงลงมาบรรจบกันเพื่อไหลออกสู่ทะเล

 

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้น้ำฝนปี 2564 เมื่อเทียบกับปี 2554 ฝนภาคเหนือยังน้อยกว่า แต่ปริมาตรน้ำในเขื่อนเหลือมาก ส่วนฝนภาคกลางถ้าฝนตกหนักพอๆ กับปี 2554 แล้ว ฉะนั้น พฤติกรรมน้ำท่วมจะไม่ต่างกันเลย

 

“น้ำท่วมครั้งนี้เกิดจากฝนที่ตกในภาคกลาง จะไม่มีน้ำเหนือเป็นแรงผลักทำให้หนัก แต่จะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมไหลเอ่อช้าๆ แต่อยู่นาน และคงประมาทไม่ได้ เพราะไม่อาจคาดเดาพายุที่จะเข้าหลังจากนี้ หรือฝนจะตกอีกเท่าไหร่ ความรุนแรงมีแน่นอน ระดับน้ำอาจสูงกว่า 2554 ด้วย ถ้าฝนตกเยอะ”

 

นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผวจ.ปทุมธานี ระบุถึงระดับน้ำในเขื่อนของปทุมธานีอยู่ในระดับ 2.80-3.00 เมตรขึ้นไป ซึ่งหากระบายน้ำที่ 100 ลูกบาศก์เมตร ระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นอีก 10 เซนติเมตร ซึ่งอยู่ในจุดที่ยังบริหารจัดการได้

 

ขณะเดียวกันคาดว่าระหว่างวันที่ 10-15 ต.ค. จะมีพายุเข้ามายังภาคกลางตอนล่าง ประมาณ 3 ลูก ปริมาณฝนเฉลี่ย 60 มิลลิเมตร โดยปทุมธานีได้วางเครื่องสูบน้ำบริเวณคลองระพีพัฒน์ และคลองรังสิต จำนวน 15 เครื่อง และวางแผนเบนมวลน้ำไปยังด้านตะวันตก เพื่อลดปริมาณน้ำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

 

ย้อนภัยปี 54 เตือนอย่าชะล่าใจ

ยังจำได้หรือไม่? เมื่อวิกฤตน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 ทำความเสียหายทุกด้านทั่วประเทศ คาดมีมูลค่าประมาณกว่า 1 ล้านล้านบาท สำหรับ กทม. มีพื้นที่น้ำท่วม 6.2 แสนไร่ ส่วนพื้นที่ปริมณฑลที่ได้รับผลกระทบมากสุด คือ ปทุมธานี 8.79 แสนไร่ รองลงมานครปฐม 8.27 แสนไร่ และนนทบุรี 3.36 แสนไร่

 

ดังนั้น วิกฤตน้ำท่วมใหญ่เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักต่อพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรม รวมทั้การพาณิชยกรรมในเขตเมืองหลายจังหวัด นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยทำให้มีผู้ได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศราว 4 ล้านครัวเรือน คิดเป็นกว่า 13 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 657 ราย สูญหาย 3 คน

 

สำหรับน้ำเพิ่งเริ่มท่วมในปี 2564 นับตั้งแต่ 23 กันยายน เป็นต้นมา อาการชะล่าใจของฝ่ายรัฐบาลยังอืดอาดเหมือนเดิม เวลาผ่านไปกว่าสัปดาห์ถึงต้นตุลาคมนี้ แนวทางแก้ปัญหายังขาดการรวมศูนย์ เพื่อดันมาตรการให้สอดคล้องกับการไหลของมวลน้ำที่ระบายออกมาจากเขื่อน ขณะนี้สิ่งที่เห็นมีแต่ภาพนายกรัฐมนตรีเร่งรุดไปเยี่ยมประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม พร้อมบอกรัก…ไม่ทอดทิ้งชาวบ้าน และมีประชาชนยืนชูป้ายเชียร์ลุงตู่ ขอให้อยู่นานๆ ว่ากันเข้าไปนั่น

 

มีความเห็นจากนักติดตามวิกฤตน้ำอย่างนายหาญณรงค์ บอกว่า ในกรณีวิกฤตน้ำท่วมแบบนี้ หน่วยงานต้องเอาข้อมูลมารวมกันที่คณะกรรมการน้ำแห่งชาติ (กนช.) เพื่อเป็นศูนย์กลางคอยสั่งการ จะได้สลายเป็นคำสั่งเดียวว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร เพราะบางทีหน่วยงานราชการไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ปิดกั้นข้อมูลแก่กัน ดังนั้นประธาน กนช. คือ พล.อ.ประวิต วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ต้องเป็นคนรับผิดชอบ

 

“แต่ตอนนี้ทุกคนรีรอ เพราะแกไม่ลุก ไม่สั่งสักที เพิ่งจะเรียกประชุมเมื่อ 29 ก.ย. และถ้ามีข้อมูลแล้ว ตัดสินใจได้แล้ว ก็สั่งต่อไปที่จังหวัด ให้จังหวัดส่งไปท้องถิ่นต่อ แล้วเขาจะได้ดำเนินการได้ทันทีว่าควรทำอย่างไร ต้องระวังตรงไหน”

 

อาการเฉื่อยชาและเชื่องช้า เมื่อเทียบกับสถานการณ์พายุอีก 3 ระลอกจ่อถล่มไทยทั้งเดือนตุลาคมนี้ จึงสะท้อนได้ชัดว่า เป็นความชะล่าใจในการใช้มาตรการเพื่อรับมือวิกฤตการณ์ แต่รีรอและไม่ได้ทำ ด้วยเหตุนี้ กทม.-ปริมณฑลจึงวิตกกังวลว่า วิกฤติน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 จะตามมาหลอนเอาอีกในปี 2564


ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:

https://www.facebook.com/sammachiv

https://www.facebook.com/chumchonmeedee</a

https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods

 

ไม่มีวิดีโอ

Back To Top