พิทักษ์สิ่งแวดล้อม คัดค้านนำเข้าขยะพลาสติก
พิทักษ์สิ่งแวดล้อม
คัดค้านนำเข้าขยะพลาสติก
สมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่ารวมมือกับองค์กรภาคประชาสังคม 65 องค์กรผนึกพลังเคลื่อนไหวเมื่อกันยายน 2563 เพื่อคัดค้านขยายเวลานำขยะพลาสติกจากต่างประเทศเข้าไทยออกไปอีก 5 ปี
การจับมือครั้งสำคัญขององค์กรภาคประชาสังคมประกาศจุดยืนเด่นชัดใน 2 ประการ คือ หนึ่งเรียกร้องให้รัฐบาลโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรม ยึดมั่นมติเมื่อ 15 สิงหาคม 2561 เพื่อยกเลิกนำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศเข้าไทยตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2563 ตามเดิม และ สอง คัดค้านมติเมื่อ 25 มกราคม 2564 ที่เปลี่ยนใหม่ให้ขยายเวลานำเข้าขยะพลาสติกต่างประเทศออกไปอีก 5 ปี โดยไปสิ้นสุดในปี 2569
จี้รัฐยืนหยัดมติ 15 สิงหา 61
คำประกาศของภาคีภาคประชาสังคมทั้ง 2 ข้อดังกล่าวนั้น มีความแตกต่างกันในแนวทางแก้ไขปัญหาขยะอย่างชัดเจน เพราะมติเมื่อ 15 สิงหาคม นั้น สอดคล้องกับโรดแมปการลดขยะล้นเมือง เนื่องจากในแต่ละปี ไทยมีขยะพลาสติดในประเทศมากถึง 2 ล้านตันต่อปี ประกอบกับเมื่อมีการนำเข้าอีก 5 แสนตันต่อปีจากโรงงานนำเข้าราว 46 โรงงาน ดังนั้นขยะพลาสติกย่อมสะสมกองเป็นภูเขาเลากายากต่อการขจัดทำลายได้
แล้วยิ่งนานวันเข้า กองขยะพลาสติกจะยิ่งลุกลามทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย รวมทั้งปัญหาระดับภูมิภาคและระดับโลก มีการคาดการณ์ว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้านี้ ทั่วโลกจะมีขยะหลุดรอดออกสู่สิ่งแวดล้อมมากถึง 700 ล้านตัน ด้วยเหตุนี้การลดและเลิกใช้พลาสติก แล้วหันมาใช้วัสดุทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นภารกิจเร่งด่วน และรัฐบาลได้โหมปลุกให้ประชาชนเห็นถึงพิษภัยของขยะพลาสติกจนตั้งเป็นวาระแห่งชาติเมื่อปี 2561 กันแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มสะท้อนถึงขยะพลาสติกจะกลายเป็นปัญหาใหญ่หลวงในอนาคต เนื่องจากมีปัจจัยนอกประเทศมาประกอบ คือเมื่อปี 2560 ประเทศจีนสั่งห้ามนำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศ แล้วในปี 2561 ขยะพลาสติกก็ทะลักเข้าไทยกว่า 552,912 ตัน หากเปรียบเทียบที่ไทยเคยนำเข้าในปี 2559 มีเพียง 69,500 ตัน ซึ่งความแตกต่างเชิงตัวเลขนี้บ่งชี้ถึงอัตราการเพิ่มพุ่งพรวดถึง 8 เท่าตัว สิ่งนี้จึงเป็นสัญญาณไม่สู้ดีนักในด้านสิ่งแวดล้อมไทย
อีกอย่าง รัฐบาลประกาศให้ปัญหาขยะพลาสติกเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมกับแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการเพื่อบูรณาการการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างเป็นระบบ” มาแก้ไขปัญหา และมีการประชุมเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 กระทั่งมีมติให้ยกเลิกการนำเข้าเศษพลาสติกภายใน 2 ปี คือยุติลงในสิ้นกันยายน 2563
แนวทางยกเลิกขยะพลาสติกนั้น คณะอนุกรรมการเพื่อบูรณาการการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกฯ ไม่ได้หักด้ามพร้าด้วยเข่า แต่กำหนดช่วงผ่อนผันการนำเข้าขยะพลาสติกในสิงหาคม 2561 ได้ไม่เกิน 70,000 ตัน แล้วในสิงหาคม 2562 ลดลงเหลือ 40,000 ตัน และตั้งแต่ 30 กันยายน 2563 ห้ามนำเข้าขยะพลาสติกเด็ดขาด
มติ 25 มกรา 64 พลิกกลับ
กลุ่มโรงงานนำเข้าขยะพลาสติกผลักดันให้กระทรวงอุตสาหกรรมขยายเวลานำเข้าขยะพลาสติกต่อไปได้อีก โดยอ้างว่าขาดแคลนวัตถุดิบในประเทศจึงต้องการนำเข้าขยะพลาสติกถึง 685,190 ตันต่อปี แต่บริษัท คัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิล วงษ์พาณิชย์ จำกัด ซึ่งคร่ำหวอดในวงการนี้จนได้รับฉายาว่า “ราชาขยะ” ยืนยันว่า ขยะพลาสติในประเทศมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของโรงงานรีไซเคิล
แรงผลักดันของกลุ่มโรงงานนั้น ทำให้คณะอนุกรรมการเพื่อบูรณาการการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกฯ ประชุมกันเมื่อ 25 มกราคม 2564 เพื่อกำหนดแผนควบคุมการนำเข้้าขยะพลาสติกใหม่ โดยตั้งเป้าห้ามนำเข้าตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 เท่ากับกลับลำมติเมื่อ 15 สิงหาคม 2561 สะท้อนถึงการเปลี่ยนจากห้ามนำเข้าในปี 2563 มา เป็นปี 2569
พร้อมทั้งกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดให้ปี 2564 นำเข้าขยะพลาสติกได้ 2.5 แสนตัน จากนั้นในปีถัดๆไปลดลงเป็นสัดส่วน 20% ต่อปี คือ ในปี 2565 นำเข้าเหลือ 2 แสนตัน ปี 2566 นำเข้าด้ 1.5 แสนตัน ปี 2567 เหลือนำเข้า 1 แสนตัน แล้วปี 2568 เหลือ 50,000 ตัน และในปี 2569 ให้ใช้ขยะพลาสติกในไทยได้ 100% หมายถึงห้ามนำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศ
อีกอย่าง เพจมูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) เครือข่ายภาคประชาสังคม ระบุว่า ยังมีเปิดช่องว่าง โดยผ่านกฎหมายศุลกากรที่เอื้อให้นานาชาติส่งเศษพลาสติกมารีไซเคิลเพื่อส่งออก ในทุกพื้นที่ของประเทศไทยที่ได้ประกาศเป็น “เขตปลอดอากร” ได้อย่างเสรีตลอดไป
การกลับลำมติห้ามนำเข้าขยะพลาสติกนั้น ภาคีภาคประชาสังคมจึงผนึกกำลังต่อต้านกันครั้งใหญ่ เป็นการต่อต้านในรหัส “พิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อม” แล้วเผชิญหน้าถามรัฐบาลไทยว่า จะเอื้อประโยชน์ต่อทุนโรงงานนำเข้าขยะพลาสติกอย่างนั้นหรือ???
ไม่เป็นถังขยะโลก-คัดค้านนำเข้าเศษพลาสติก
เครือข่ายภาคีประชาสังคม 65 องค์กรออกแคมเปญ “คัดค้านนำเข้าเศษพลาสติก” โดยรณรงค์ให้ประชาชนมาลงชื่อสนับสนับสนุนได้ใน “Change.org” โดยวางเป้าหมายต้องการเสียงประชาชนจำนวน 35,000 รายชื่อ ขณะที่เมื่อช่วงค่ำวันที่ 8 สิงหาคม 2564 มีผู้สนับสนุนแล้ว 31,725 คน ซึ่งเชื่อว่า เหลือเวลาอีกไม่มากคงได้รายชื่อเต็มจำนวนตามเป้าหมาย
โดยรายชื่อพร้อมจุดยืนของภาคีประชาสังคมนี้จะทำเป็นหนังสือยื่นการคัดค้านต่อกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อบ่งบอกถึงเสียงประชาชนไม่ต้องการให้ไทยเป็น “ถังขยะโลก” พร้อมกับย้ำการพิทักษฺสิ่งแวดล้อม ดังนั้นต้องกดดันให้รัฐบาลไทยยืนหยัดตามมติวันที่ 15 สิงหาคม 2561 ซึ่งกำหนดแนวทางห้ามนำเข้าขยะพลาสติกในวันที่ 30 กันยายน 2563
ไม่เพียงเท่านั้น ภาคประชาสังคมยังมีข้อเรียกร้องประกอบด้วย ยกเลิกมติ 25 มกราคม 2564 และกรมควบคุมมลพิษเร่งจัดเวทีพบกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเศษพลาสติก อีกทั้งให้ผู้ประกอบการใช้เศษพลาสติกในประเทศ นอกจากนี้เรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศห้ามนำเข้าเศษพลาสติกภายในปี 2565 ขอให้เพิ่มบทลงโทษผู้นำเข้าขยะพลาสติกโดยสำแดงเท็จ และที่สำคัญคือ ห้ามให้ไทยเป็นฐานการแปรรูปเศษวัสดุจากต่างประเทศเพื่อส่งออก
ถึงที่สุดแล้ว จุดยืนของภาคีประชาสังคม และข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานรัฐบาลในอนาคตอันใกล้นี้จะสำเร็จหรือไม่ พลังประชาชนจึงเป็นปัจจัยผลักดันอย่างสำคัญ เป็นพลังที่จะถามถึงแนวทาง “สิ่งแวดล้อมกับการผลิตที่ส่อส่งผลกระทบเกิดมลพิษต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”
ดังนั้น จะวางอนาคตไทยให้เต็มไปด้วยฟ้าใส อากาศสดชื่น สิ่งแวดล้อมเป็นคุณต่อสุขภาพ หรืออยากให้ไทยเป็น “ถังขยะพลาสติก” เพื่อแลกกับมูลค่าส่งออก สิ่งนี้เป็นทางเลือกที่ต้องตอบและสนับสนุนพลังกดดัน
ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:
https://www.facebook.com/sammachiv
https://www.facebook.com/chumchonmeedee</a