skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
แพทย์ชนบท ยกทัพเข้ากรุง สู้โควิด

แพทย์ชนบท ยกทัพเข้ากรุง สู้โควิด

แพทย์ชนบท ยกทัพเข้ากรุง สู้โควิด

 

แพทย์ชนบทกลับมากู้ กทม.ครั้งที่ 3 ตามสัญญาเคยให้ไว้ มาครั้งนี้ราวกับยกทัพใหญ่รวมบุคลากรการแพทย์ต่างจังหวัด 38 ทีมประมาณ 304-380 คน เพื่อทำภารกิจ “ความหวัง” ให้ กทม.พ้นภัยโควิดระบาดประเทศก็รอด

แม้การมาหนนี้กำหนดทำงานตั้งแต่ 4-10 ส.ค.เป็นเวลา 7 วัน แต่เริ่มงานวันแรก 4 ส.ค.ก็มีรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดใหม่พุ่งพรวดทะลุ 20,200 คนเป็นครั้งแรก และสูงสุดในรอบ 2 ปีที่โควิดระบาดในไทย พร้อมทำสถิติไต่แซงหน้ามาเลเซียขึ้นไปอยู่อันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นรองแค่อินโดนีเซียที่มีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่ม 33,900 รายในวันเดียวกับไทย

ท่ามกลางโควิดระบาดทวีรุนแรงและเพิ่มความหดหู่ใจมากขึ้น การเดินหน้าลุยยิ่งต้องมุ่งมั่น เมื่อมาแล้วไม่มีถอยหรือถอดใจในการทำงานทั้ง 7 วัน เพจชมรมแพทย์ชนบทออกแบบการทำงานว่า จะส่งทีมลงในแหล่งชุมชนแออัดวันละ 30 จุด กำหนดตรวจคัดกรองเชื้อโควิดจุดละ 1,000 คนต่อวัน รวมเป็น 30,000 คนต่อวัน พร้อมเชื่อว่า ครบกำนดภารกิจจะคัดกรองตัดตอนโควิดระบาดได้ถึง 2.1 แสนคน

“ความหวังในท่ามกลางความหดหู่ที่แสนเหน็ดเหนื่อยเท่านั้นที่จะช่วยให้ทุกคนฮึดสู้ และรวมพลังคนไทยสู้ภัยโควิดในครั้งนี้ ให้เราผ่านมันไปด้วยความสูญเสียทั้งด้านชีวิตและเศรษฐกิจให้น้อยที่สุด” เพจชมรมแพทย์ชนบทระบุ

 

ฮึดสู้! อย่าคิดช้า รีบมาร่วมมือกัน

การกลับมาครั้งที่ 3 นี้ แพทย์ชนบทมีความหวังว่า อยากเห็นทุกคน ทุกองค์กรออกมาช่วยกัน ระดมสรรพกำลังให้เต็มที่ ใครทำอะไรได้ทำ อย่าคิดนาน ทำด้วยความเร็วในอัตราเร่งที่ให้ทันกับการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตา

ดังนั้น แพทย์ชนบทมาหนนี้จึงทำหน้าที่ครบวงจนมากขึ้น มีทั้ง swab หาเชื้อด้วย rapid test หากได้ผลลบให้กลับบ้านได้หรือไปรับบริการวัคซีนจากทีม กทม.ที่จะมาร่วมออกหน่วยด้วย แต่หากผลเป็นบวกจะถูกตามมาตรวจ RT-PCR ซ้ำ ได้รับบริการยาฟ้าทะลายโจรหรือยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) และนำเข้าระบบ Home Isolation (HI) หรือ Community Isolation (CI) ของ สปสช.ในวันเดียวกันเพื่อดูแลรักษาต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังมีทีมของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา นำชุดใหญ่มาคัดกรองแบบ walk in วันละ 5,000 คน ในจุดต่างๆ เปลี่ยนจุดไปทุกวันรวม 7 วัน จะคัดกรองได้อีก 35,000 ราย ดังนั้น ปฏิบัติการครั้งนี้จะสามารถคัดกรองผู้คนในเมืองกรุงได้ประมาณ 250,000 ราย หากผลบวกอยู่ที่ประมาณ 10-15% จะพบผู้ที่มีเชื้อโควิดเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาจำนวน 25,000-32,500 คน ซึ่งน่าจะตัดตอนการระบาดไปได้พอสมควร

 

ตัดตอนผู้ป่วยอยู่บ้านรอตาย-แพร่เชื้อ

ภารกิจครบวงจรหนนี้ เป็นที่แน่ชัดว่า มุ่งตรวจ คัดกรอง แยกผู้ไม่ป่วยออกจากผู้ติดเชื้อเพื่อหยุดการแพร่ระบาด ชะลอการติดเชื้อไม่ให้ลุกลามรุนแรงจนยากต่อการควบคุมได้ โดยผู้ป่วยเบื้องต้นในระดับสีเขียวจะถูกแยกไปเข้าสู่ศูนย์พักคอยหรือ CI ที่ กทม.สร้างไว้รองรับ เพื่อเร่งรักษา ด้วยยาต้านไวรัส ป้องกันเชื้อโควิดลงปอดเพราะจะเกิดภาวะป่วยหนัก ใช้เวลาครองเตียงนานขึ้น ในขณะที่เตียงมีไม่เพียงพอการรักษา จึงเสี่ยงต่อการเสียชีวิต

ศูนย์พักคอยของ กทม.ขณะนี้ระดมสร้างถึง 60 แห่งรองรับผู้ป่วยได้ 4,752 คน ข้อมูล กทม.เมื่อ 31 ก.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า เปิดดำเนินการแล้ว 40 แห่งในจำนวนนี้มี 7 แห่งถูกปรับเป็นโรงพยาบาลสนาม นั่นสะท้อนถึงการเตรียมการรับมือกับผู้ป่วยสีเหลืองที่ต้องการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด

ไม่เพียงเท่านั้น ในระดับผู้ป่วยสีเหลืองและแดงยังต้องถูกส่งตัวไปดูแลรักษาในโรงพยาบาลสนามหรือโรงพยาบาลหลักให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งแนวทางเช่นนี้สะท้อนถึงการปฏิบัติการกู้ภัย กทม.อย่างครบวงจร ลดการผู้ป่วยตกค้างจากการรักษาแล้วนอนรอความตายที่บ้าน

โดยเฉพาะการนอนรอความตายที่บ้าน นอกจากสร้างความหดหู่แล้วยังทำให้ระบบสาธารณสุขล้มเหลว อีกทั้งประชาชนต้องดิ้นรนต่อสู้โควิดตามยถากรรม ซึ่งเป็นความอนาถใจที่ทับถมทวีมากขึ้นในช่วง ก.ค.ที่ผ่านมา

 

ฝ่าข้ามอุปสรรคยา-รพ.สนามขาดแคลน

สิ่งที่เป็นอุปสรรคขวางการกลับมาครั้งที่ 3 ของกลุ่มแพทย์ชนบท คือ ยาฟาวิพิราเวียร์และโรงพยาบาลสนามมีเพียงพอต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยสีเขียวและสีเหลืองหรือไม่ เพราะเมื่อตรวจหาเชื้อ แยกการคัดกรองไปอยู่ใน HI หรือ CI ได้แล้ว หากขาดยารักษา ย่อมทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนักขึ้น

นพ.อกนิษฐ์ ศรีสุขวัฒนา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ หมออาสา HI สะท้อนปัญหาคนไข้หลายคนจากอาการสีเขียวขยับเป็นเหลือง จนเป็นแดงและเสียชีวิต เนื่องจากยาไปไม่ทันรักษา เพราะยาฟาวิพิราเวียร์ จะมีประสิทธิผลดี หากผู้ติดเชื้อได้รับยาภายในระยะเวลา 4 วัน นับจากวันที่เริ่มมีอาการ ดังนั้น สิ่งนี้จึงเป็นอุปสรรคใหญ่ยิ่งของการสู้ภัยระบาดเชื้อเดลตาที่แพร่รวดเร็วและรุนแรง

อีกอย่าง มีเสียงเตือนจากเพจโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ถึงการจัดหายาฟาวิพิราเวียร์ให้พร้อม เพราะถ้ามีผู้ป่วยใหม่เพิ่มทะลุกว่า 20,000 คนต่อวันจะใช้ยาต้านไวรัสมากถึงวันละ 1 ล้านเม็ด หรือคิดเป็นเดือนละ 30 ล้านเม็ด แต่องค์การเภสัชกรรม ( อภ.) ผลิตได้เพียงเดือนละ 2-4 ล้านเม็ดเท่านั้น

แต่ในความจริงแล้ว ข้อมูลเมื่อ 4 ส.ค. 2564 มีผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาลถึง 211,076 คน คงใช้ยาฟาวิพิราเวียร์มากถึง 211,076 x 50 เท่ากับ 10,553,800 เม็ดต่อวัน นั่นบ่งชี้ได้ว่า แนวโน้มยาต้านไวรัสส่อเกิดขาดแคลนอย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้

อย่างไรก็ตาม อภ. เริ่มปรับแผนขยายการผลิตใหม่ โดยระบุว่า ใน ก.ย. คาดผลิตได้ 23 ล้านเม็ด และตั้งแต่ ต.ค.จะผลิตได้ไม่น้อยกว่า 40 ล้านเม็ดต่อเดือน ส่วน ส.ค.จะเร่งผลิตดแบบแผงให้ได้ 2.5 ล้านเม็ด พร้อมยืนยันจะจัดหาจากต่างประเทศมาเพิ่มอีก 43.1 ล้านเม็ดถึงที่สุดตัวเลขเป็นเครื่องชี้วัดว่า ยังไม่พอกับผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสนามและโรงพยาบาลหลักอยู่ดี

ประกอบกับ ใน ส.ค.คาดมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มทะลุ 20,000 คนต่อวันแล้ว ยังไม่มีความมั่นใจว่า จะมียาฟาวิพิราเวียร์มารองรับการต้านโควิดในกลุ่มสีเขียวทั้งอยู่ใน HI และ CI รวมทั้งผู้ป่วยระดับสีเหลืองอ่อนๆต้องดูแลในโรงพยาบาลด้วย

นอกจากนี้ หากพิจารณาเตียงโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนใน กทม.แล้ว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รายงานข้อมูลเมื่อ 3 ส.ค. 2564 ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 41,097 เตียง ใช้ไปแล้ว 35,855 เตียง เหลือเพียง 5,242 ในจำนวนนี้มีเตียงผู้ป่วยสีแดงเหลือ 172 เตียง ผู้ป่วยสีเหลืองเหลือ 1,129 เตียง และผู้ป่วยสีเขียวเหลือ 3,941 เตียง (ซึ่งแบ่งเป็นโรงพยาบาลสนามเหลือ 808 เตียง)

ดังนั้น สถานการณ์เตียงทุกระบบผู้ป่วยของ กทม.ที่เหลือเพียง 5,242 เตียงจึงยากจะรองรับผู้ป่วยรายใหม่ที่เพิ่มสูงถึงกว่า 20,000 รายต่อวัน แม้ กทม.เร่งสร้างศูนย์พักคอยทุกเขตก็รับผู้ป่วยสีเขียวได้ประมาณ 4,700 คนเท่านั้น

 

ทั้งหมดทั้งปวงนั้น แพทย์ชนบทจึงสะท้อนถึงรหัสการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างเร่งด่วน อย่าคิดช้ากับการแก้ปัญหาที่ตั้งท่าถาโถมเข้าใส่ในทุกระดับความเร็วของการแพร่ระบาดเชื้อเดลตา โดยเฉพาะการผนึกกำลังต้องเป็นไปอย่างครบวงจรทั้งในหน่วยงานรัฐและเอกชน

สิ่งสำคัญ เมื่อแพทย์ชนบทบุก กทม.ครั้งที่ 3 มาฮึดสู้โควิดครั้งใหญ่ แม้เร่งตรวจเชื้อ คัดครองแยกตัว ตัดตอนการแพร่ระบาดแล้ว แต่ยาไม่พอ โรงพยาบาลไม่มีเตียง ผลกระทบสำคัญต้องดิ่งไปอยู่ที่ HI / CI รับภาระหนัก แล้วอยู่ในสภาพรอยา รองเตียง รอตายไปเป็นวันๆอีกตามเคย

ย้ำและขีดเส้นใต้ว่า ถ้าขาดยาฟาวิพิราเวียร์ ให้ผู้ป่วยสีเขียวที่กักตัวแล้ว อาการอาจลุกลามไปถึงขั้นสีเหลือง ซึ่งสมุนไพรฟ้าทะลายโจรก็เอาไม่อยู่ แล้วอาการผู้ป่วยย่อมเสี่ยงไปถึงขั้นสีแดงและรอวันเสียชีวิต…

ดังนั้น ความหวังให้ กทม.พ้นภัยโควิดระบาดรุนแรง คงมีโอกาสเป็นไปได้ยาก ประเทศไทยยังคงยืนอยู่ปากเหวภัยพิบัติโรคห่าระบาด


ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:

https://www.facebook.com/sammachiv

https://www.facebook.com/chumchonmeedee</a

 

Back To Top