เรียนรู้ ถ่ายทอด แนวทางบ้านยางบ่า ชุมชนต้นแบบปลอดขยะ
เรียนรู้ ถ่ายทอด แนวทางบ้านยางบ่า ชุมชนต้นแบบปลอดขยะ โครงการอบรมผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลงจังหวัดชัยภูมิ เมื่อ 18 ก.พ.-20 ก.พ.2564 ที่อุทยานแห่งชาติตาดโตน อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ โดย“อรุณรัตน์ เดชชัยภูมิ” นักวิชาการสุขาภิบาล เทศบาลตำบลโคกสูง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ เป็นวิทยากรการด้านจัดการชุมชนปลอดขยะ ซึ่งรณรงค์ให้หมู่บ้านยางบ่า เป็นต้นแบบชุมชนปลอดขยะจนประสบความสำเร็จ หมู่บ้านยางบ่า เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ในเทศบาลตำบลโคกสูง ใช้เวลาเพียง 3 ปี เริ่มโครงการชุมชนปลอดขยะตั้งแต่ปี 2559 สามารถขับเคลื่อนให้ชุมชนเรียนรู้ ร่วมมือ และจัดการ คัดแยกขยะจนประสบความสำเร็จ และได้รับโล่ พร้อมเงินรางวัลจากโครงการชุมชนปลอดขยะระดับภาคของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เมื่อปี 2562
“อรุณรัตน์” กล่าวถึงแนวทางรณรงค์ให้ชุมชนปลอดขยะว่า ตำบลโคกสูง มีแนวทางการจัดการขยะ เริ่มจากนายกเทศมนตรีตำบลโคกสูง กำหนดนโยบายโครงการ “ถนนปลอดถัง (ขยะ)” ให้หมู่บ้านยางบ่า เป็นชุมชนต้นแบบ เพื่อรับมือจากต้นทางขยะที่อยู่ในบ้านเรือน และไม่เน้นแก้ปัญหาปลายทาง โดยได้การสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนสำนักงานสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ถนนปลอดถังกับการเก็บขยะเป็นคนละส่วนกัน โดยหลักสำคัญของถนนปลอดถัง เริ่มด้วยแจกถังเล็กๆให้ครัวเรือนไปใส่ขยะแล้วรวบรวมใส่ถุงดำมาวางหน้าบ้านในช่วงเช้าเพื่อเก็บขนสัปดาห์ละ 2 ครั้งทุกวันอังคารกับศุกร์ ช่วงแรกประสบปัญหามาก แต่แจ้งให้ตัวแทนชุมชนรับรู้แล้วร่วมกันแก้ปัญหา เช่น ขยะทิ้งไม่คัดแยกเศษอาหาร เป็นต้น ส่วนการรณรงค์นั้น ได้ทำประชาคมให้ชุมชนรับทราบ ตั้งคณะกรรมการติดตามงานมีตัวแทนจากทุกภาคส่วน ทั้งหัวหน้าท้องถิ่นในตำบล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประธาน อสม. ประธานชุมชน มาร่วมติดตามการดำเนินแผนงาน “ตำบลสะอาด” การทำประชาคมนั้น ควรเน้นด้วยการทำ MOU เป็นลายลักษณ์อักษรในการรณรงค์ ในปี 2559 เริ่มต้นนโยบาย “แยกขยะอินทรีย์” (ขยะเปียกย่อยสลายง่ายในบ้านเรือน) เพราะจากที่วิเคราะห์แต่ละเดือนจะมีมากถึง 60 ตันจากประชากร 1,000 กว่าคน และเทศบาลต้องเสียเงินมากมายในการกำจัดขยะ จากนั้น วิเคราะห์ประเภทขยะ ตามหลักการของกรมควบคุมมลพิษ ได้ผลคือ ขยะส่วนใหญ่เป็นเศษอาหาร ผัก ผลไม้ ทำให้ขยะมีจำนวนมาก ต้องเสียเงินค่าทิ้งขยะเดือนละ 4-5 หมื่นบาท ในปี 2559 ได้เริ่มรณรงค์ลดขยะ แล้วประกาศและทำ MOU กับชาวบ้านว่า จะไม่มีการเก็บขนขยะอินทรีย์ แล้วเริ่มรณรงค์ให้คัดแยกขยะอินทรีย์ โดยแจกถังขยะเจาะรู และตาข่ายเขียว พร้อมกรงใส่ใบไม้ให้ เพื่อนำไปให้ชาวบ้านคัดกรองแยกขยะ
“ในช่วงแรก เทศบาลแจกทุกอย่าง แต่กำหนดบ้านเรือนต้นแบบประมาณ 10 หลังคาเรือนเพื่อให้คนทำตาม แต่ยังมีบางบ้านดื้อรั้น ในปี 2559 มีเรื่องร้องเรียนค่อนข้างรุนแรง แต่เราใจแข็งไม่เก็บขยะที่อยู่นอกเหนือ MOU จนขยะเน่า มีหนอนอยู่หน้าบ้าน เจ้าบ้านจึงจำเป็นต้องจัดการขยะเสียเอง” “อรุณรัตน์” กล่าวว่า ในปี 2560 เทศบาลขยับไปรณรงค์การลดขยะพลาสติก โดยเลือกประชุมชาวบ้านช่วงเย็นหรือค่ำเพื่อประชาสัมพันธ์ให้รับรู้ แต่มีความยากลำบาก เพราะชาวบ้านไม่ค่อยสนใจ ดังนั้น จึงเปลี่ยนกระบวนการนัดใหม่โดยแทรกขอเวลาบางช่วงกับการประชุมชาวบ้านของ ธกส. หรือประสานไปกับบุญประเพณี ขอพระช่วยเทศย้ำให้เกิดซึมซับในเรื่องการคัดแยกขยะ อีกอย่าง การทำโรงทานในงานบุญชาวบ้านต่างๆนั้น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านต้องเป็นผู้นำในการคัดแยกขยะ ด้วยการทำ MOU กับชาวบ้านด้วย เช่น การใช้วัตถุดิบที่ย่อยสลายง่าย ใช้ใบตองแทนกล่องโฟม ใช้ชามจานอ้อยมาใส่กับข้าว เป็นต้น การรณรงค์ประชาสัมพันธ์เรื่องขยะนั้น เราจะให้ผู้นำทุกภาคส่วน ทั้งนายกเทศบาลตำบล ประธานสภา สท. รวมถึง สท.ทุกคนมาเดินรณรงค์ประชาสัมพันธ์คัดแยกขยะอินทรีย์ คือ เศษอาหาร ผัก ผลไม้ ใบไม้อย่าทิ้งลงถังขยะ เพราะรถขยะเทศบาลไม่เก็บ “เราโดนด่าแค่ไหน เราต้องยืนหยัดให้ได้ ช่วงแรกก็เกิดเสียงบ่น แต่เราทำค่อยเป็นค่อยไป เรามาคิดว่า ถ้าฝ่ายนโยบายไม่ทำ ดีแต่พูดๆ ก็ไม่เห็นงาน ดังนั้น การเริ่มต้นทำก็คือ ทำที่บ้านนายกเทศบาล บ้าน สท. (สมาชิกเทศบาล) และต้องทำทุกที่ แล้วเก็บภาพมา รวมทั้งบ้านกำนัน ผู้ใหญ่บ้านก็ต้องทำเป็นบ้านต้นแบบด้วย ไม่ใช้ป่าวประกาศ พูดเสียงตามสายอย่างเดียว” หลังจากเริ่มทำงานโดยไม่มีงบประมาณมากมาย แต่เลือกทำงานเล็กๆ กระทั่งได้งบประมาณจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกองทุน มาหนุนช่วยมากขึ้น จึงขยายพาผู้นำไปดูงานชุมชนปลอดขยะในต่างท้องถิ่นที่หมู่บ้านหัวถนน จ.ขอนแก่น ซึ่งโดดเด่นในด้านชุมชนพึ่งตัวเอง อีกอย่าง การพาผู้นำชุมชนไปดูงานคัดแยกขยะต่างพื้นที่นั้น เท่ากับเป็นแรงกระตุ้นความรู้สึกฮึกเหิมในการทำตาม อีกทั้งในชุมชนเมื่อมีคนมาศึกษาดูงานมากขึ้น จึงเกิดตลาดชุมชนขายสินค้าท้องถิ่น กลายเป็นระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนขึ้นมา “เราจึงทำให้ผู้นำชุมชนเห็นว่า ถ้าบ้านคุณเป็นแบบนี้ ชุมชนเป็นแบบนี้ เราจะเอาอะไรมาขาย เขาก็ซื้อหมด จึงจุดประกายวาดฝันให้เขา สิ่งสำคัญเราไม่พูดถึงอุปสรรค เพราะจะไม่สามารถทำงานประสบความสำเร็จได้เลย” “อรุณรัตน์” กล่าวถึงการคัดแยกขยะพลาสติกว่า ในหมู่บ้านยางบ่า ทำการคัดแยกมา 1-2 ปี แม้ช่วงปีแรกเกิดท้อเพราะรัฐบาลรับขยะพลาสติกมาหลายแห่ง เกิดราคาตกต่ำ แต่ช่วงหลังราคาพลาสติกสูงจึงเริ่มดีขึ้น นอกจากนี้ยังได้ไปดูงานในประเทศญี่ปุ่นด้วย จึงได้ประสบการณ์และเป็นแรงกระตุ้นการทำงาน พร้อมกับแนะนำประสบการณ์การรณรงค์จนประสบความสำเร็จว่า การจะทำนโยบายอะไรก็ตามต้องย้ำการประชาสัมพันธ์ให้มากๆ เช่น พูดเสียงตามสายเพื่อให้เกิดความเคยชิน จึงเกิดความรู้สึกจากชาวบ้านในเรื่องการจัดการขยะโดยอัตโนมัติ
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตำบลโคกสูงประสบความสำเร็จ คือ มีเทคนิคในการทำการคัดแยกขยะ ด้วยการทำกิจกรรม “ลดแลกแจกแถม” ทุกอย่างกับการคัดแยกขยะ แจกทั้งตาข่าย ถังขยะ ถังซีเมนต์ เพราะรู้สึกว่า จะขอความร่วมมืออะไรกับชาวบ้านต้องเป็นผู้ให้เสียก่อน จนชาวบ้านตื่นตัวทำที่แยกขยะเองอย่างมั่นคงและสวยงาม อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวบ้านเกิดแรงกระตุ้นแล้ว ย่อมรู้วิธีการคัดแยกขยะเอง เช่น ชาวบ้านคนหนึ่งใช้ถุงปุ๋ยตอกตะปูแขวนกับต้นไม้ไว้ใส่ขยะแยกเป็นประเภท เช่น ใส่ขวดน้ำพลาสติก ใส่ขวดแก้ว และใส่โลหะ เป็นต้น ในช่วงปี 2560-2561 เทศบาลเริ่มเอาจริงกับการรณรงค์ “ขยะรีไชด์เคิล” พร้อมทำธนาคารขยะ ประสานตัวแทนคนรับซื้อขยะตามชุมชนให้มาขายที่ธนาคาร โดยใช้หลักคิดสำคัญเน้นให้ขยะออกไปจากชุมชน แล้วติดต่อร้านรับซื้อของเก่าวงศ์พาณิชย์ มาซื้อขยะที่ธนาคารขยะอีกทอดหนึ่ง ซึ่งเราจะไม่เก็บขยะไว้ข้ามวัน ดังนั้น จึงต้องรับซื้อและขายขยะแบบวันต่อวัน ในช่วงเวลาไม่เกิน 14.00 น.ทั้งนี้ช่วงแรกร้านวงศ์พาณิชย์ใช้รถ 10 ล้อมารับซื้อขนขยะ แต่ในช่วงหลังขยะลดลงได้แค่รถกระบะมาขนเท่านั้น รวมทั้ง เทศบาลได้รณรงค์ให้วัด โรงเรียน ศูนย์ราชการคัดแยกขยะรีไซเคิล ด้วยการสนับสนุนอุปกรณ์ทุกอย่างให้ จึงเกิดการตื่นตัวกับกลุ่มเยาวชนช่วยคิดออกแบบผลิตภัณฑ์ขยะและเทศบาลจัดประกวดแข่งขันให้รางวัลเป็นแรงจูงใจความคิดสร้างสรรค์กับขยะรีไชด์เคิล ไม่เพียงเท่านั้น เทศบาลยังวางแผนที่จะรู้ว่า แต่ละบ้านมีขยะอินทรีย์จำนวนมากน้อยเท่าใด ด้วยการแจกถังเล็กๆ มาใส่ขยะแล้วชั่งเพื่อเก็บข้อมูล จึงรับรู้ปริมาณขยะลดลงจากช่วงแรกมีปริมาณ 60 ตันต่อเดือน เหลือ 19 ตันต่อเดือน ส่งผลให้ปิดบ่อทิ้งขยะของเทศบาล แล้วไปใช้ที่ทิ้งของเอกชน ช่วยประหยัดงบประมาณได้เป็นแสนบาทต่อปี แล้วนำเงินไปสร้างถนน และโครงการประปาให้ชุมชน ส่วนการแยกขยะอันตรายนั้น “อรุณรัตน์” กล่าวว่า เทศบาลรณรงค์ในช่วง 1-2 ปีแรกผ่านการทำกิจกรรม “นำขยะอันตรายมาแลกของใช้” ซึ่งชาวบ้านตื่นตัว มาต่อแถวยาวเพื่อแลกสิ่งของใช้ จึงทำให้เรียนรู้ถึงขยะอันตรายคืออะไร จนขึ้นปีที่ 3 ไม่มีกิจกรรมแลกของใช้ แต่แนะนำให้ชาวบ้านนำไปทิ้งที่จุดทิ้งเอง โดยได้รับความร่วมมือด้วยดีจากชุมชน จึงสะท้อนถึงโครงการประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ความสำเร็จอีกส่วนหนึ่งจากการรณรงค์ในด้านขยะ สะท้อนออกเชิงตัวเลขของชุมชนมีปริมาณขยะลดลง ในปี 2561 มีปริมาณประมาณ 378 ตันต่อปี แล้วลดลงมาในปี 2562 เหลือประมาณ 264 ตันต่อปี เท่ากับลดลงกว่าร้อยกว่าตัน “เมื่อเราบอกชาวบ้านว่าขยะลดลง จะเหลือเงินจ่ายค่าทิ้งขยะจำนวนมาก แล้วจะได้สร้างถนนในชุมชนเพิ่มขึ้น ชาวบ้านย่อมดีใจ” “อรุณรัตน์” กล่าวถึงความวาดหวังถึงอนาคตกับชาวบ้านที่ได้ร่วมมือลด แยกแยะขยะ จนประสบความสำเร็จ “อย่าเริ่มต้นรณรงค์ขอความร่วมมือกับชุมชนด้วยการพูดถึงปัญหาอุปสรรค เพราะจะทำงานไม่สำเร็จ ควรเริ่มด้วยความวาดหวังจากความร่วมมือของชุมชน” อรุณรัตน์ นำแนวทางการทำชุมชนปลอดขยะด้วยประสบการณ์ของตัวเองมาย้ำอีกครั้ง
ไม่มีภาพกิจกรรม
ไม่มีวิดีโอ