skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
LFC 11ในวิถีใหม่ ปรับคิด-ปรับตัว-ปรับสร้าง
Communication chat icon above cityscape in the night light of the city.

LFC 11ในวิถีใหม่ ปรับคิด-ปรับตัว-ปรับสร้าง

LFC 11ในวิถีใหม่ ปรับคิดปรับตัวปรับสร้าง

     งานจบแล้วเมื่อ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมา! ตั้งแต่เริ่มงานทุกเสาร์-อาทิตย์ตลอดทั้งเดือนพฤศจิกายนนั้น การอบรมโครงการผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่นที่ 11 เต็มไปด้วยความคึกคัก สนุกสนานกับกิจกรรมผ่อนคลาย ตื่นเต้นกับข้อมูลจากวิทยากรทรงคุณวุฒิและหลากประสบการณ์มาถ่ายทอด พร้อมแลกเปลี่ยนความเห็นกันและกัน

 

     แกนการอบรมผู้นำรุ่นที่ 11 ในหัวข้อหลัก “Food & Health ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนสู่ตลาดโลก” มีผู้เข้าอบรมทั้งจากหน่วยงานรัฐ เอกชน ผู้นำชุมชน และผู้สนใจทั่วไป รวมทั้งสิ้น 91 คน โดยแบ่งการอบรมเป็น 3 ส่วนเชื่อมประสานให้เป็นเอกภาพชุดความรู้ คือ ส่วนอบรมความรู้ ส่วนกิจกรรมลงพื้นที่ชุมชนเป้าหมาย แล้วนำมาก่อรูปเพื่อปรับสร้างแนวทางโครงการใหม่ แล้ววนย้อนกลับสู่ชุมชนฐานรากในมิติยกระดับการเปลี่ยนแปลงจากภายในให้พัฒนาสู่ตลาดภายนอก

 

     หากขมวดภาพรวมแล้ว จะกล่าวเฉพาะการเชื่อมโยงภาพลักษณ์ผู้นำ เพื่อนำการพัฒนาและก่อรูปเศรษฐกิจฐานรากวิถีใหม่ แล้วปรับสร้างสินค้าชุมชนสู่ตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยเข้าใจว่า การเชื่อมโยงเช่นนี้ เป็นส่วนหนึ่งให้เกิดแนวทางสัมมาชีพในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน

 

ใครคือผู้นำและนำไปทำสิ่งใด

     การรับรู้และแสดงบทบาทผู้นำเป็นสิ่งสำคัญในการบุกเบิกชุมชนให้ร่วมแรงการพัฒนา แต่ “ผู้นำ” กับ “การเป็นผู้นำ” มีความแตกต่างกัน นายวิเชฐ ตันติวานิช ประธานคณะกรรมการสถาบันผู้นํา–นําการเเปลี่ยนแปลง เสนอว่า ผู้นำเป็นคุณลักษณะที่มีมากหรือน้อยอยู่ในตัวคนทั่วไปอยู่แล้ว ส่วนการเป็นผู้นำนั้นมักมีองค์ประกอบสำคัญที่การลงมือปฏิบัติจึงจะเกิดความเชื่อถือ เชื่อมั่น แล้วมีผู้ตามร่วมแนวทางการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีขึ้น

 

     ดังนั้น หลักการเป็นผู้นำที่ดี นายวิเชษฐ์ บอกว่าต้องมี 3 คุณลักษณะ คือ ต้องตัดสินใจ ต้องแก้ปัญหา และต้องสื่อสารให้เข้าใจ โดยทั้ง 3 คุณลักษณะนี้จะขาดอย่างหนึ่งไม่ได้ พร้อมเน้นว่า เมื่อผู้นำมีหลักการสื่อสารถึงการตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างเข้าใจและชัดเจนแล้ว การพัฒนาย่อมเดินไปสู่เป้าหมายตามแนวทางที่ต้องการได้

 

     ส่วนการพัฒนานั้น นายสมพล เกียรติไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิสัมมาชีพ และ นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ ประธานกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เสนอเป้าหมายตรงกันว่า ต้องเน้นให้ประชาชนมีการดำรงชีพอย่างเป็นสุข ยืนด้วยขาตัวเอง มีรายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัวไม่เดือดร้อน ซึ่งเป้าหมายเช่นนี้สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงของรัชกาลที่ 9 ทรงแนะนำไว้เป็นกรอบการพัฒนา

 

     อีกทั้งยังเป็นแนวทางของ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ได้นำมาบุกเบิกให้มีสัมมาชีพเต็มที่ เพื่อประชาชนลดรายจ่ายให้น้อยกว่ารายได้ ไม่ใช้ชีวิตสุ่มเสี่ยงด้วยการเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น รวมทั้งสิ่งแวดล้อม โดยมั่นใจว่า ถ้าสัมมาชีพเกิดขึ้นเต็มที่แล้ว ความยั่งยืนในชีวิตจะดำรงอยู่อย่างมั่นคง ความเดือดร้อนก็ค่อยๆลดลง

 

     นอกจากนี้ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เสนอว่า ผู้นำควรมุ่งเปลี่ยนทัศนคติคนไทยให้ไปสู่วิถีการคิดใหม่ที่แตกต่าง และต้องทำไว ไปกับคนเก่ง ซึ่งจะพาไทยแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้ทั่วโลก

 

เศรษฐกิจฐานรากปรับตัวยั่งยืน

     การอบรมผู้นำที่ผ่านมานั้น ส่วนหนึ่งวิทยากรได้จำกัดความหมายของ “ฐานราก” และ “ยั่งยืน” ให้เกิดความชัดเจน เพื่อเป็นเข้มทิศชี้นำไปสู่แนวทางการพัฒนาได้ตรงเป้าหมาย

 

     นายรักพงษ์ เซ่งเจริญ ผู้อำนวยการ สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) นิยามว่า ฐานรากมีความหมายถึง “ชุมชน”ทั้งในเมืองและท้องถิ่น ส่วนความยั่งยืนนั้น มีนัยบ่งชี้ถึงความมั่นคงในการพัฒนา ดังนั้น การพัฒนาฐานรากจึงเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจการเกษตรให้เป็นสินค้า “ทำรายได้เสริม” เติมคุณภาพจากการใช้ชีวิตแบบเกษตรกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลลิตทางด้านพืชอาหารและสินค้าสุขภาพอนามัยเป็นหลัก

 

     วิทยากรส่วนใหญ่ เน้นเสนอแนวทางการพัฒนาท่องเที่ยวชุมชนมาเชื่อมประสานให้เศรษฐกิจชุมชนเติบโตขึ้น เพราะการท่องเที่ยวกระตุ้นให้เกิดการผลิตและจำหน่ายสินค้า สามารถทำรายได้เสริมให้ตรงเป้าหมาย แต่ช่องทางตลาดเน้นนักท่องเที่ยวจึงต้องพัฒนายกระดับให้เปิดกว้างขึ้นจึงเกิดประโยชน์ต่อสินค้าชุมชน

 

     การเปิดกว้างของสินค้าชุมชนนั้น ย่อมนำไปสู่การปรับความคิด ปรับสร้างคุณภาพสินค้า และเติมประวัติแหล่งที่มาของสินค้าจึงจะเกิดความภูมิใจของผู้ซื้อที่ได้เข้าถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น และสิ่งสำคัญสินค้าย่อมเกิดมูลค่าเพิ่มจึงเท่ากับยกระดับรายได้เสริมให้กระจายในชุมชนท้องถิ่น

 

     นายมงคล ลีลาธรรม ประธานกรรมการบริหาร สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เน้นการเพิ่มมูลค่าสินค้าว่า มีหลักยึดให้ไปสู่แนวทางสำคัญ 3 ประการ คือ เริ่มจากชุมชนลงมือผลิตอาหารอินทรีย์ ไม่มีสารเคมีปนเปือน เน้นอาหารแบบสุขภาพและเป็นยารักษา รวมทั้งการแปรรูป เนื่องจากอาหารแบบอินทรีย์จะขายได้ดี โดยมีตลาดใหญ่อยู่ที่ สหรัฐ และญี่ปุ่น

 

     อีกอย่างสินค้าเพื่อสุขภาพ ได้ขยับขึ้นสู่ตลาดอาหารใหม่ ดังนั้น การปรับตัวเหล่านี้จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยควรต้องเปลี่ยนสายการผลิตใหม่ โดยหาทางให้สินค้าอาหารได้คุณภาพ เอาสารเจือปนออก แล้วแปรรูปเพิ่มมูลค่าเป็นรายได้ย้อนสู่ชุมชน

 

     อีกทั้ง ดร.บุญยิ่ง คงอาชาภัทร ผู้ช่วยคณบดีวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ชี้ช่องการพัฒนาสินค้าโอทอปหรือสินค้าชุมชน ว่า สิ่งสำคัญสินค้าต้องมุ่งเน้นเป้าหมายลูกค้า อย่างไรก็ตาม องค์ประกอบของสินค้าไทยและสินค้าท้องถิ่นที่ดีนั้น ควรเป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะไม่มีใครเหมือน ทำให้เกิดจุดเด่นเป็นที่รู้จักและจดจำได้

 

     รวมทั้ง นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาเติมองค์ความรู้ ความสามารถ ทักษะ ความเชื่อ วัฒนธรรม การใช้ชีวิต และประสบการณ์ของคนในท้องถิ่นที่สั่งสมมายาวนานจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อบ่งบอกถึงความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนา ดัดแปลง ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ–ประสิทธิผล ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มใหักับแบรนด์ของสินค้าไทย

 

ปรับสร้างขยายตลาด

     กระบวนการปรับสร้างนั้น เป็นรูปแบบที่เกิดจากการปรับตัว ปรับความคิดใหม่ในตลาดสินค้า ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) แนะว่า โลกในอนาคตแบบวิถีใหม่จะเกิดการเปลี่ยนใน 3 ด้าน คือ เปลี่ยนจาก Physical เป็น Non-Physical คือ การค้าขายไม่ได้อยู่ตามหน้าร้านแบบโลกเดิมๆ ดังนั้น การแบกภาระต้นทุนจะปรับเปลี่ยนใหม่ โดยเปลี่ยนเป็นการขายอยู่บ้านผ่านเครื่องมือสื่อสารยุคใหม่ ทั้งไลน์ ทั้งแอปพลิเคชั่น เป็นต้น

 

     นอกจากนี้ การทำธุรกิจยังเปลี่ยนจาก Non-Platform ไปเป็น Platform คือจากการทำงานแบบคนเดียวไปสู่การทำธุรกิจที่รู้จักคิด วางแผน โดยมีเป้าหมายให้ธุรกิจมีค่าใช้จ่ายต่ำลง แล้วเกิดรายได้ที่สูงขึ้น และเกิดได้เปรียบทางการแข่งขัน

 

     สุดท้ายเปลี่ยนจากอุตสาหกรรม Indigenous ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมดั่งเดิมจากการขายของอย่างเดียว รอคนมาซื้อ เปลี่ยนไปเป็นอุตสาหกรรม Value Added มุ่งสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มบน Platform และ Non-Physical ดังนั้น 3 ด้านการเปลี่ยนแปลงนี้ จึงเป็นการปรับเปลี่ยนที่ใกล้เคียงกับคนไทย โดยไม่รู้ตัว

 

     รวมความแล้ว ภาพรวมของ LFC-11 เน้นให้ผู้นำ ใช้โอกาสที่โลกกำลังปั่นป่วนจากการแพร่เชื้อโรคโควิด มาเริ่มต้นคิดสร้างแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนในวิถีใหม่ที่มีสินค้าคุณภาพได้ขยายตลาดสู่โลกที่กำลังวิกฤต ดังนั้นกลยุทธ์ไปสู่ความสำเร็จได้ ต้องแก้โจทย์การพัฒนาแบบเก่า แล้วให้เกิดการปรับความคิดใหม่ นำไปปรับตัวสินค้า ช่องทางตลาด และปรับสร้างคุณภาพให้จดจำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เชื่อกันว่า จะนำมาสู่การเพิ่มมูลค่าให้สินค้า อีกทั้งเป็นรายได้เสริมมาเติมความยั่งยืนแก่ฐานรากด้วย

 

 


กลับสู่หน้าหลัก โครงการผู้นำ นำการเปลี่ยนแปลง คลิก


ติดตามข้อมูลข่าวสานของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:

https://www.facebook.com/sammachiv

https://www.facebook.com/chumchonmeedee

https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods</span

Back To Top