skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
Disruptive And Social Transformations “การเปลี่ยนแปลงต่อไป จะเป็นการเปลี่ยนอย่างไม่น่าเชื่อ”

Disruptive and Social transformations “การเปลี่ยนแปลงต่อไป จะเป็นการเปลี่ยนอย่างไม่น่าเชื่อ”

รายงานสัมมาชีพ
พ.อ.ดร.เศรษฐพงศ์ มะลิสุวรรณ

Disruptive and Social transformations
“การเปลี่ยนแปลงต่อไป จะเป็นการเปลี่ยนอย่างไม่น่าเชื่อ”

          ในการเปลี่ยนแปลงต่างๆนั้นมีการคาดการณ์จากอดีตมาแล้ว อย่างเช่นปัจจุบันกล้องมือถือสามารถเป็นทีวี.ได้ เราสามารถรู้ได้ว่าที่ผ่านมาเรามีเพื่อนกี่คน บางคนไม่เคยเจอแต่อยู่ๆก็ลอยมากลางอากาศ

                 

          เมื่อก่อน GPSจากราคาหลายแสนบาท ทุกวันนี้เหลือไม่กี่พันบาท สามารถเห็นตำแหน่งเราจากเรียลไทม์ ดังนั้นวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตจากราคาแพงหลายแสนบาทเหลือเพียงไม่กี่พันบาทเท่านั้น อย่างกรณีดารานักร้องธรรมดาๆไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนติดตามหลายสิบหลายร้อยล้านคน เด็กพวกนี้มีทีวี.ของตัวเอง มีวิดิโอ.ของตัวเอง.ให้คนติดตามมากมาย

          ฉะนั้นเราอยู่กับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งในอดีตก็มีการเปลี่ยนแปลงแต่มันช้าอย่างไรก็ตามคาดว่าในปี 2015-2020 เราจะเริ่มพบปรากฏการณ์เปลี่ยนผ่านสู่”ดิจิตอล”อย่างแท้จริง อย่างไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ขณะที่รัฐบาลไม่เข้าใจประชาชน ไม่เห็นประชาชน แต่เฟซบุ๊กสามารถเห็นวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ

        เมื่อ 10 ปีที่แล้ว”มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก “บอกว่า อีก 10ปี เฟชบุ๊กจะเป็นทีวี.ทุกวันนี้มี เฟซบุ๊กไลฟ์ ในยุค 4G ทีวี.จะหายไปครึ่งหนึ่งแต่เมื่อมี 5G เข้ามา ทีวี.ที่เราเคยเห็นจะหายไปทั้งหมด ต่อไป ทีวี.ในยุค 5Gจะอยู่ติดตัวกับเรา การเปลี่ยนแปลงต่อไปจะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างนักท่องเที่ยวไปท่องเที่ยวในหมู่บ้านในชุมชนเวลาซื้อของก็จะซื้อผ่านออนไลน์ แล้วให้คนจัดส่งไปที่บ้านเขา

        ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว อาชีพก็เปลี่ยนไปมากที่สุด เราจะมีหมอมาหาที่บ้าน เราอยู่นิ่งเฉยๆเลือกผู้ช่วยแพทย์ จ่ายยาออนไลน์ ได้เลย เมื่อก่อนโทรศัพท์ไม่เคยโอนเงินได้ แต่วันนี้ทำได้เกือบทุกอย่าง ไปแบงก์เปิดบัญชีมีแอปพลิเคชั่นให้โหลดทำได้ทุกอย่าง โทรศัพท์ในอีก10ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนไปมากกว่าที่เป็นอยู่

      ในสมัยรัชกาลที่5 เวลาเรียนหนังสือต้องเรียนโรงเรียนวัด หลังจากนั้นเป็นกระทรวงเริ่มจากวัดมาเป็นกระทรวงมาสร้างระบบ ที่ผ่านมาเนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆแต่ในอีก 10ปีข้างหน้าเด็กรุ่นใหม่เขาอยากดูในสิ่งที่เขาอยากดูจาก ยูทูป เรียนรู้จากเน็ตฟลิกซ์ สมัยก่อนคนรู้เท่ากัน ปริญญาเท่ากัน แต่ตอนนี้โลกกลับพลิกผันไปแล้ว เมื่อก่อนเราเรียนเพื่ออดีตทั้งนั้น ไม่ได้เรียนเพื่ออนาคต ทุกวันนี้เด็กเรียนเพื่ออนาคตรู้ก่อนอาจารย์ เด็กเรียนจากยูทูปสอนลึกกว่าอาจารย์

      

      อดีตที่ผ่านมาเราคิดว่าใช่แต่อนาคตไม่ใช่อีกแล้ว อนาคตสาขาแบงก์จะเพิ่มขึ้นแต่สาขาแบงก์จะอยู่กับเราทุกคน ทุกคนจะมีธนาคารติดตัว ร้านสะดวกซื้อก็เป็นแบงก์ได้ เฟซบุ๊กก็เป็นแบงก์ได้หากมี”ริบลา”ของเฟซบุ๊คเกิดขึ้น เงินดอลลาร์เกิดปัญหาแน่ เมื่อก่อนแบงก์ทำธุรกรรมได้เพราะแบงก์รู้จักเรา ปัจจุบันนี้แบงก์รู้จักเราน้อยกว่าเฟซบุ๊ก เพราะเวลาเราไปไหนเราก็มักจะถ่าย โลเคชั่น ไปเที่ยวไหนก็ถ่ายรูป ไปกินข้าวร้านไหนก็ถ่ายรูปอาหาร

        กูเกิล สามารถรู้ว่ารถติดมากกว่าตำรวจจราจร รู้ได้เร็วกว่าตำรวจจราจร เสียอีกเพราะกูเกิ้ลได้ข้อมูลจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ เมื่อรถจอดก็จะมีสัญญาลักษณ์เป็นสีแดงพร้อมกัน รถเคลื่อนก็จะเป็นสีส้มเป็นข้อมูลแบบเรียลไทม์ รู้เร็วกว่าจราจร มันไม่สนใจว่าเราเป็นใครแต่สนใจภาพรวม

        เมื่อ กูเกิ้ลบวกเฟซบุ๊กฉลาดขึ้นลูกหลานเราจะถูกเก็บข้อมูลตั้งแต่เด็ก สะสมจนแล้วจนเล่า กูเกิ้ล และเฟซบุ๊กจะรู้จักตั้งแต่เด็ก จนเป็นผู้ใหญ่ เวลาเราไปสถานที่ใดที่หนึ่งแล้วอยู่ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ข้อมูลจะอนุมานว่าสถานที่ที่เราไปเป็น”ออฟฟิศ” แล้วเมื่อออกจากออฟฟิศตอนเย็นไปสถานที่ที่หนึ่งทุกวัน ซ้ำแล้วซ้ำอีก กูเกิ้ลจะวิเคราะห์ว่า นั่นคือบ้าน แต่เมื่อวันเสาร์วันอาทิตย์ เราออกจากบ้าน ก็จะวิเคราะห์ว่า เราไปเที่ยวมันเก็บสถิติเราทุกอย่างไว้บน กูเกิล กล้องจะถ่ายเราจนรู้ว่าเราเป็นใคร สมมติอีก 30 ปีข้างหน้ากล้องจะมีราคาถูกลงอะไรจะเกิดขึ้น วันนี้ กูเกิ้ล จะทำสิ่งเหลือเชื่อโดยจะทำอินเตอร์เน็ตไปที่ไหนในโลกใบนี้ก็ใช้อินเตอร์เน็ตได้ สามารถรู้ไลฟสต์ ของคน

        ส่วนที่วิตกว่าคนจะตกงานในอนาคตนั้นคงไม่จริง คนยังจะยังมีงานทำ แต่งานบางอย่างจะหายไปจะมีงานใหม่เกิดขึ้นแทน แต่จะเป็นงานที่มีทักษะสูงขึ้น ต่อไปในอนาคตคนงานทำหน้าที่ออ๊กเหล็ก คนงานในโรงงานจะไม่มีอีกแล้วแต่จะมี หุ่นยนต์ทำงานแทน คนจะมีงานใหม่คือ ซ่อมโรบ็อต คนงานซ่อมบำรุง โปรแกรมเมอร์ อย่างที่บอกว่าเด็กรุ่นใหม่เรียนรู้โดยไม่พึ่งการศึกษาในระบบ เขาจะเห็นของไหม่ๆจากยูทูป เขาสามารถศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง มหาวิทยาลัยกำลังจะสูญหายไป กำลังจะเจอคนน้อยลง

       ต่อไปห้างสรรพสินค้าจะไม่มีคลังสินค้าเก็บสินค้า ห้างสรรพสินค้าต่อไปจะเป็นโชว์รูมและเป็นแหล่งบันเทิง สื่อจะเป็น3มิติ ต่อไปจะเกิดสถาบันการเงินรูปแบบใหม่ๆ ใครๆก็เป็นแบงก์ได้ถ้ารู้จักคนเป็นล้าน ต่อจากนี้จะมีอาชีพใหม่ๆเกิดขึ้น พรรคการเมืองใหม่ๆเกิดขึ้น เกือบเป็น มาจอริตี้เพราะเขารู้จักคนของเขาแบบเรียลไทม์

      การศึกษาเปลี่ยนไป แต่จะมีมหาวิทยาลัยใหม่ๆเกิดขึ้นในบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่เพราะมหาวิทยาลัยเก่าผลิตบุคคลากรไม่สนองตอบความต้องการของบริษัท เช่น ปตท. มีบิสเทค ซีพีออลล์มีมหาวิทยาลัยปัญญาภิวัฒน์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะด้าน

      เมื่อก่อนหนังสือพิมพ์ผลิตข่าวของเมื่อวาน เพราะรู้ข่าวเมื่อคนอ่านหมดแล้ว ทีวี.ตอบโจทย์ไม่ได้ โซเชียลมีเดีย ตอบโจทก์มากกว่า การศึกษา 10 ปีข้างหน้าจะแปลจากฮาร์วาร์ด พูดภาษอังกฤษก็จะมีแปลเป็นไทยแบบเรียลไทม์ทันที เด็กๆจะออกนอกระบบไปเรื่อยๆมหาวิทยาลัยในระบบจะถูกท้าทายด้วยมหาวิทยาลัยนอกระบบ ต่อไปบริษัทต้องการหาทักษะของบัณฑิตย์มากกว่าจบมหาวิทยาลัยไหน คนในยุคต่อไปไม่ทำงานแบบเต็มเวลา( ฟูลไทม์) แต่จะทำงานแบบอิสระ(ฟรีแลนซ์)ทำหลายๆบริษัทรับงานเป็นจ็อบๆ ไป

ทั้งหมดที่เล่ามา คือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

Back To Top