ภาวะปลอดภัยไว้ก่อน วิถีสัมมาชีพลดความเสี่ยง
ภาวะปลอดภัยไว้ก่อน
วิถีสัมมาชีพลดความเสี่ยง
อดแปลกใจอยู่ สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์มีจริงหรือ? หากมีจริง มีที่ไหนและเมื่อไร หรือเป็นเพียงความปรารถนา ผลักดันจินตนาการอยากจะมี อีกทั้งกังขาว่าปลอดภัยจากอะไร แล้วสร้างสรรค์อย่างไร เพื่อไปสู่เป้าหมายใดกัน
ด้วยประสบการณ์ตรงส่วนตัว สิ่งที่เห็นและได้คลุกคลีวงการสื่อมากว่า 3 ทศวรรษ ความรับรู้เฉพาะตัวเชื่อว่า องค์กรสื่อมีลักษณะแบบ“สื่อปลอดภัยแต่ไม่สร้างสรรค์” และยังมี“สื่อสร้างสรรค์กลับไม่ปลอดภัย”ปนเปอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่าง“ปลอดภัยกับสร้างสรรค์” เป็นไปในลักษณะ“คู่ตรงข้าม” โดยมีปัจจัยภายนอกทั้ง“การเมืองกับการตลาด”เข้ามาเจื่อปนแทรกแซงกำหนดในระดับเข้มข้น
แปลความว่า สื่อปลอดภัยเป็นกระบวนการทั้งเกิดจากแรงขับภายในองค์กรผลิตผลักดัน และยังมีปัจจัยภายนอกบ่งการทิศทาง กำหนดเนื้อหาเพื่อสนองตอบต่อเป้าหมายทางการเมืองและระบบตลาดเศรษฐกิจกำหนดชั่วครู่ชั่วยามด้วย สิ่งนี้ทำให้ภาวะปลอดภัยแปรเปลี่ยนไปตามปัจจัยภายนอกชี้นำมากกว่าตัวตนของสื่อ“ต้องการจะเป็น”
ดูเหมือน“ดร.ธนกร ศรีสุขใส” ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มั่นใจว่า ความสัมพันธ์สร้างผลิตสื่อปลอดภัยสามารถเป็นส่วนผสมคลุกเป็นเนื้อเดียวกับแนวคิดสร้างสรรค์ได้ แต่เมื่อเติมความมุ่งมั่น “จะพัฒนา”เข้าไปเป็นตัวเร่ง ดังนั้น สิ่งไม่ปลอดภัยจึงมีโอกาสน่าจะพัฒนายกระดับให้ปลอดภัยไปบรรลุเป้าหมายเพื่อสังคมเกิดสติ และลดความเสี่ยงจากการรับสารให้น้อยลงไป
น่าสนใจกับแนวคิดแปรเปลี่ยน“คู่ตรงข้าม” ให้ภาวะ“ปลอดภัยกับสร้างสรรค์”กลายเป็น“คู่ส่วนผสม” โดยมีความมุ่งมั่น“พัฒนา”เป็นเชื้อเร่งเติบโตขยายวงกว้างในสังคม แต่นั่นชุมชน ภาคประชาชนกับกองทุนฯ ต้องร่วมมือกันสร้างสังคมให้มีภูมิต้านทานสื่อไม่ปลอดภัยได้เติบโตขยายเต็มพื้นที่สังคม
“ธนกร”กับสื่อปลอดภัย
คนในวงการสื่อรู้จักมักคุ้นกับ “ธนกร” มานาน 30 ปีเศษ เริ่มตั้งแต่ปี 2530 ในยุคเครื่องพิมพ์ดีดเสียงดังต๊อกแต๊กๆ สนั่นกองบรรณาธิการของสื่อสิ่งพิมพ์ในเครือเนชั่น ถัดจากนั้นเขาย้ายเปลี่ยนไปสื่อสังกัดอื่นๆ จากสื่อสิ่งพิมพ์มาเป็นผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ กระทั่งถึงยุคที่เครื่องมือการผลิตพัฒนาเป็น“คอมพิวเตอร์”ง่ายต่อการสื่อสาร เกิดชุมชนออนไลน์รับรู้ข่าวสารสารพัด เขาบอกว่า ตัวตนของเขายังเป็นคนสื่ออยู่ เพียงแค่มาทำหน้าที่ในบทบาทที่เปลี่ยนไป
วันนี้…“ดร.ธนกร”ไม่ใช่คนสื่อในองค์กรสื่อข่าวสารปกติ แต่มาเป็นผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยฯ ซึ่งเป็นองค์กรสื่อแบบเปิดรูปแบบหนึ่ง ระหว่างสัมภาษณ์ “The Reporters” เขาสะท้อนว่า “คนสื่อยากจะออกจากวงการสื่อไปได้ง่ายๆ” เขาเปรียบหน้าที่ “ผู้จัดการกองทุนฯ” บริหารงบประมาณกว่า 300 ล้านบาทต่อปี เพื่อจัดสรรไปยกระดับการผลิตสื่อที่มีเนื้อหาสารปลอดภัยให้สังคมและไม่ต้องตื่นตระหนกกับสาระสารที่ได้รับ ด้วยเหตุประมาณนี้ เขาจึงเชื่อมั่นว่า หน้าที่ของเขาคือคนสื่อเหมือนเดิมประมาณนั้น
แม้กองทุนฯก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2558 มีอายุปฎิบัติงานแค่ 5 ปีก็ตาม อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงการล้มลุกคลุกคลาน ต้องคลำหาแนวทางปฏิบัติ และปรับระบบความสัมพันธ์กับหน่วยการผลิตสื่อภายนอกมารับการสนับสนุนให้ผลิตเนื้อหาที่ดีมีมาตรฐานตามกรอบจุดประสงค์หลัก 5 ประการของกองทุนที่เป็นรากการก่อเกิด ที่มีมาตั้งแต่ยุคเรียกร้องปฏิรูปสื่อจนถูกบรรจุลงในรัฐธรรมนูญ 2540
กองทุนฯ มีกรอบหลัก 5 ประการยึดคุมแนวทางสู่เป้าหมายพัฒนาสื่อปลอดภัย คือ การรณรงค์ส่งเสริมให้เกิดพัฒนาการผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ช่วยเติมเต็มยกระดับศักยภาพผู้ผลิตทั้งในระดับปัจเจก องค์กรเอกชน และหน่วยงานรัฐ รณรงค์สนับสนุนให้ประชาชน เยาวชน ครอบครัวมีทักษะให้รู้เท่าทันสื่อ สามารถแยกแยะสิ่งที่ควรเชื่อ ควรทำตาม หรืออะไรที่ไม่จริง หรือก่อปัญหาให้กับชีวิต รวมทั้งสามารถวิเคราะห์สื่อดี ไม่ดี ข้อมูลข่าวสารเชื่อได้หรือไม่ได้ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการวิจัย การพัฒนาองค์ความรู้ การสร้างแพลตฟอร์มใหม่ให้เป็นเครื่องมือที่คนจะเปิดรับสื่อ ผลิตสื่อ เฝ้าระวังสื่อ สามารถนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ได้ ตลอดจนทำงานและส่งเสริมกับภาคประชาชน ส่วนราชการอย่างทั่วถึง กว้างขวาง
รวมความแล้วสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงการรับรู้ข่าวสารและสิ่งสำคัญต้องการให้ประชาชนในฐานะผู้รับสื่อได้มีสติ และเตือนเฝ้าระวังภัยสิ่งไม่เหมาะสม แอบแฝงมากับเนื้อหาสาร ซึ่งอาจก่อกระทบให้สังคมตื่นตระหนกเกินข้อเท็จจริงอย่างไร้เหตุผล
ด้วยกรอบยึดเช่นนั้น ดร.ธนกร มั่นใจแนวทางพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จะเป็นเกราะยึดของสังคม รวมทั้งสามารถทำให้สื่อปลอดภัยเกิดขึ้นเป็นจริงได้ เหนืออื่นใด ต้องมีพลังความร่วมมือทั้งจากองค์กรเอกชน ปัจเจกบุคคล โดยรัฐคลายความกังกลเรื่องทุน และไม่ต้องไปแบกรับกับตลาดที่ไม่ปลอดภัย ไม่มั่นคง
ริเริ่ม-ผลิตซ้ำสังคมสร้างสรรค์เต็มพื้นที่
ดร.ธนกร เชื่อว่า สื่อดีมีมาตรฐานอยู่ยากลำบากในระบบเศรษฐกิจตลาดกำหนด ดังนั้น หลักคิดที่ว่า ของดีมีประโยชน์ต่อสาธารณะจึงต้องลงทุน และทุนสนับสนุนนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐจัดสรรเข้ามาเติมเต็มเพื่อผลักดันให้เกิดสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์สังคมให้มีสติรับรู้ก่อนหลงเชื่อข่าวสาร แล้วกดแชร์โดยขาดการหยั่งคิด ตรวจสอบ
เพียงแค่เดือนเดียว ตั้งแต่ ดร.ธนกร มารับตำแหน่งเมื่อ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ปัญหาเร่งด่วนต้องสะสางคือกำหนดกรอบจัดสรรทุนในรอบปีงบประมาณ 2563 จำนวน 300 ล้านบาทเศษให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา อนุมัติหลักเกณฑ์ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ จากนั้นคาดว่า ตามปกติมีโครงการยื่นขอรับทุนสนับสนุนประมาณ 1,000 ต้นๆ ซึ่งจะพิจารณาเสร็จใน 2 สัปดาห์ และทำสัญญารับทุนได้ภายใน ก.ย.นี้
ผู้ต้องการรับทุนเสนอโครงการโดยจำแนกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเปิดทั่วไป โดยบุคคลธรรมดา มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ยึดติดกรอบผลิตเนื้อหาแบบเดิมๆ มายื่นขอทุนได้ กลุ่มนี้มีงบจัดสรรประมาณ 100 ล้านบาท กลุ่มสองเป็นนิติบุคคล สมาคม มูลนิธิ มีทิศทางเป้าหมายตามยุทธศาสตร์กำหนดมีงบประมาณจัดสรรมากหน่อยปรมาณ 180 ล้านบาท และกลุ่มที่สาม เป็นส่วนราชการ มีเม็ดเงินจัดสรรประมาณ 30 ล้านบาท
ดร.ธนกร เสนอว่า จะริเริ่มแนวทางใหม่ คือให้โอกาสกับคนหน้าใหม่ที่มีจินตนาการ มีความฝันอยากทำการผลิตสื่อในกิจกรรมต่างๆ และสิ่งที่อยากทำคือ เอาบุคคลกรสื่อที่ตกงานให้เป็นผู้ฝึกทักษะ พัฒนาศักยภาพ โดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษา เพราะคนสื่อมีมุมมองการผลิต ตัดต่อได้ เขียนเนื้อหาข่าวเป็น มีมุมกล้องสื่อภาพได้อารมณ์ จึงสามารถเป็นพี่เลี้ยงสอนนักเรียนตั้งแต่ประถมถึงมัธยม โดยรัฐบาลอาจใช้เงินไม่มาก
“เราอยากให้มองการผลิตสื่อให้กว้างขวางมากกว่าการผลิตข้อมูลข่าวสารปกติ เพราะสิ่งที่จะเป็นนิวส์นอร์มอลแนวปฏิบัติใหม่ของประเทศไทยมีเรื่องหลักๆอะไรบ้าง หรือสิ่งต้องเผชิญต้องปรับตัวในภาวะโลกเปลี่ยน ประเทศไทยเปลี่ยน ไม่มีอะไรย้อนกลับไปเหมือนเดิมจะทำอย่างไร”
ดร.ธนกร ย้ำถึงแนวทางให้คนเอาสื่อไปเพิ่มมูลค่าในวิถีชีวิต ในมิติทางศิลปวัฒนธรรม เช่น เด็กบางคนร้องเพลงเก่ง จะทำอย่างไรให้ลงเสียงเป็น ตัดต่อได้ แล้วอัพโหลดสื่อสาร หรือบางคนสอนทำอาหาร เป็นต้น พร้อมเชื่อว่า สื่อสร้างพฤติกรรม ความคิด จิตสำนึก วิธีคิด ยิ่งถ้าทำในลักษณะซ้ำๆต่อเนื่อง สื่อเป็นเครื่องมือในการผลิตซ้ำทางวัฒนธรรม หรืออุดมการณ์ ดังนั้น คนในสังคมคิดแบบไหน เชื่อแบบไหนมาจากอิทธิพลของสื่อทั้งนั้น
“ความจริงโลกออนไลน์ ไม่ใช่ด้านลบเสมอไป ด้านบวกมีเยอะมาก ถ้าเป็นด้านการข่าว โลกยุคใหม่จะแข่งกันที่เนื้อหา ซึ่งโลกยุคใหม่จึงเป็นโอกาสของโลกออนไลน์ ดังนั้น สื่อปลอดภัย ไม่ใช่มีแต่เฟคนิวส์ เฮดสปีด หรือบูลลี่ จึงเป็นหน้าที่ของกองทุนที่จะลดส่วนนั้นลงไปได้”
ชุมชนฐานรากยกระดับ ศก.พาณิชย์
ชุมชนท้องถิ่นในการรับรู้แบบดั้งเดิมคือ เป็นหน่วยการผลิตและบริโภคแบบยังชีพ แต่การบริโภคสินค้าพาณิชย์ยิ่งซ้ำเติมวิถีชีวิตเกษตรกรรมเสี่ยงต่อการล่มสลาย มีรายได้ไม่พอรายจ่าย แล้วนำไปสู่การกดขี่ซ้ำแรงงานตัวเองให้ทำงานหนักขึ้น เพื่อหวังมีรายได้เพิ่ม
แต่ช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา วิถีชีวิตภาคเกษตรกรรมเปลี่ยนแปลงไป นับตั้งแต่ปี 2544 การเมืองมีส่วนกระตุ้นความปรารถนาให้ท้องถิ่น อีกทั้งชุมชนเรียนรู้และยกรระดับความสัมพันธ์กับอำนาจให้มาเอื้อประโยชน์ต่อชุมชนมากขึ้น ดังนั้นการยังชีพด้วยภาคเกษตรกรรมจึงเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของชุมชน เพราะมีระบบเศรษฐกิจฐานรากเชิงพาณิชย์มาช่วยจุนเจือรายได้การดำรงชีวิต อีกทั้งชุมชนเปิดกว้างรับแหล่งทุน มิติต่อต้านแบบเอ็นจีโอเหลือน้อยลงทุกขณะ
ดร.ธนกร บอกว่า สื่อปลอดภัยจะเป็นภูมิต้านทางสิ่งแปลกปลอมไม่ให้ทำลายสังคม ขณะที่ชุมชนฐานรากเติบโตขึ้นไปหาอาชีพนอกภาคเกษตรกรรมมาเป็นรายได้เสริมในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะแนวคิดสัมมาชีพ ซึ่งเน้นหลักไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไม่ใช่จ่ายเกินรายได้จำเป็น ดังนั้น เนื้อแท้ของสัมมาชีพคือหลักยึดสร้างความปลอดภัยและลดความเสี่ยงของชีวิตชุมชนให้เหลือที่สุด
ด้วยเหตุนี้ แนวทางสื่อปลอดภัยจึงสัมพันธ์กับวิถีสัมมาชีพได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะความมั่นคงส่วนหนึ่งของชีวิตเศรษฐกิจฐานรากจึงต้องยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อนและมั่งลดความเสี่ยง โดยส่วนหนึ่งของความเสี่ยงอยู่ที่การรับรู้ข่าวสารที่กว้างไกล ไม่จำกัดตัวเองในพื้นที่ชุมชน ผสมกับมีทักษะวิเคราะห์ เลือกแยกแยะเชื่อถือสื่อหลากหลายที่มาพร้อมสังคมออนไลน์ในปัจจุบัน
ไม่เพียงเท่านั้น ดร.ธนกร เสนอแนวทางสื่อปลอดภัยที่เน้นให้คนท้องถิ่น ประเภทชื่อมั่นตัวเองว่าเป็นช้างเผือก มายื่นขอทุน เมื่อได้รับการถ่ายทอดเพิ่มทักษะจากกองทุน การผลิตเชิงเศรษฐกิจพาณิชย์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามมาด้วย
เพราะมูลค่าเศรษฐกิจฐานรากไม่เกิดจากเนื้องานกิจกรรมของสินค้าเท่านั้น แต่ในสินค้านั้นจะมีการผลิตเชิงวิถีวัฒนธรรมชุมชนผสมอยู่ด้วย ดังนั้น กระบวนการผลิตของชุมชน เมื่อมีเป้าหมายไม่เบียดเบียน ไม่เอาเปรียบ กินอิ่ม จ่ายน้อย เหลือเก็บแล้ว สิ่งสำคัญควรมีแนวทาวของสื่อปลอดภัยมาผสมส่วนในชุมชนด้วย
การผสมส่วนนั้น สะท้อนแก่นแท้ของชุมชนเป็นที่ยึดเหนี่ยว แล้วเติมวิถีตลาดออนไลน์ สร้างแพลตฟอร์มทั้งการขาย โชว์รูปแบบการผลิต เสนอสินค้ามีคุณค่าทางวัฒนธรรม สร้างท่องเที่ยววิถีสินค้าชุมชน เท่ากับเป็นช่องทางสื่อสารที่ปลอดภัย แล้วสินค้าชุมชนจึงมีโอกาสเติบโตในตลาดได้อย่างน่าเชื่อถือ
ทั้งหมดทั้งปวงนั้น สะท้อนถึงแนวทางสื่อปลอดภัยสามารถนำมาผสมส่วนให้เกิดวิถีสัมนาชีพที่ยึดมั่นให้ชุมชนและคนท้องถิ่นปลอดภัย สามารถลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้การรับรู้เพื่อซึมซับแนวทางกองทุนสื่อปลอดภัยจึงควรค่ากับการเรียนรู้แนวทาง
ดร.ธนกร เชื่อมั่นว่า สื่อปลอดภัยมีจริง ทำได้ เมื่อภาคส่วนสังคมผนึกสร้างขึ้นมา โดยสำนึกแรกอยู่ที่สติ อย่าตื่นกระหนกข่าวสาร และวิเคราะห์พิจารณาความน่าเชื่อถือของสารที่ส่งมาถึงได้
ดร.ธนกร เป็นวิทยากรคนหนึ่งที่จะมาแลกเปลี่ยนแนวคิด พร้อมแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ในงาน “ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลงรุ่นที่ 11” อบรม Local to Global ดันเศรษฐกิจชุมชนสู่ตลาดโลก ทั้งนี้ ภาวะการเปลี่ยนแปลงจากท้องถิ่นไปสู่ตลาดโลก หากตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ปลอดภัย น่าเชื่อถือ ย่อมส่งเสริมให้เศรษฐกิจฐานรากก้าวกระโดดครั้งสำคัญ
นี่คือความจำเป็นว่า ทำไมต้องมีสื่อปลอดภัย ซึ่งจำต้องพูดคุยกับ ดร.ธนกร ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ในมุมลึกๆ หลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่บัดนี้ ถึง 20 กันยายน รายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์มูลนิธิสัมมาชีพ https://bit.ly/2ENTdrn