skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
เอาไง!!! นำร่องเลิกใส่แมสก์

เอาไง!!! นำร่องเลิกใส่แมสก์

เอาไง!!! นำร่องเลิกใส่แมสก์

ยังไม่แน่ใจว่า ประมาณกลางเดือนมิถุนายนนี้ กระทรวงสาธารณสุขและ ศบค.จะให้ 31 จังหวัด ในเป็นพื้นที่เฝ้าระวังสีเขียว 14 จังหวัด กับพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว 17 จังหวัดไม่ต้องใส่ “แมสก์”หรือหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโควิดเมื่อออกจากบ้านไปในที่สาธารณะหรือไม่

 

 

ความไม่แน่ใจเพราะนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข มีความเห็นแตกต่างสวนทางกันว่า ใส่ไว้จะดีกว่า ถอดหน้ากากอนามัยเฉพาะเวลาอยู่ในบ้านกับเพื่อนฝูง เมื่อผู้บังคับบัญชาใหญ่นำทางความเห็นคัดค้านอย่างนิ่มนวลเช่นนี้ อาจให้นายแพทย์ใหญ่ๆ ของกระทรวงสาธารณสุข คงถอยกรูด เลิกผลักดันนำร่องถอดแมสก์ใน 31 จังหวัดเป็นทิวแถว

 

นอกจากนี้ ความผิดตามกฎหมายมีโทษปรับผู้ไม่สวมใส่แมสก์ตั้งแต่ 6,000 บาทถึง 20,000 บาทก็ยังบังคับใช้อยู่ ไม่ได้ออกประกาศใหม่ให้ยกเลิกไป ดังนั้น โอกาส 31 จังหวัดไม่ใส่แมสก์เพื่อนำร่องไปสู่วันประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นในไทยตั้งแต่ 1 กรกฎาคม นี้เป็นต้นไป จึงส่อแววว่า จะไม่มีการนำร่อง นำทางดันทุรังให้ถอดแมสก์ เลิกสวมใส่หน้ากากอนามัยอีกต่อไป

 

 

อย่างไรก็ตาม ควรแบ่งใจไว้สักหน่อย เผื่อสถานการณ์พลิก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน เกิดเปลี่ยนใจให้ 31 จังหวัดถอดแมสก์ เลิกสวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้านไปที่สาธารณะได้ ซึ่งทุกสิ่งอย่างสามารถเป็นไปได้เสมอหาก “โจทย์” เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจยังเป็นสถานการณ์จำเป็นเร่งด่วนของรัฐบาลชุดนี้

 

“โจทย์”เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ใช้การท่องเที่ยวดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวให้มากนั้น ยังเป็นเครื่องมือเสริมความแกร่งให้เศรษฐกิจของไทย ขณะที่ต่างชาติหลายประเทศถูกโควิดเล่นงานจนย่ำแย่ กระทบปากท้องประชาชนบักโกรกได้ถอดแมสก์เมื่ออกจากบ้านก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

 

เช่น สหรัฐอเมริกา ให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดส ไม่จำเป็นต้องสวมแมสก์และเว้นระยะห่างทางสังคม รวมทั้งสามารถเข้าร่วมกิจกรรมทั้งในร่มและนอกสถานที่ได้ แต่ยังคงขอความร่วมมือให้ใส่แมสก์ในบางสถานที่ที่แออัด เช่น ขนส่งมวลชน เป็นต้น

 

ประเทศนิวซีแลนด์ ยกเลิกเว้นระยะห่างทางสังคม และการใส่แมสก์ในที่สาธารณะ จนทำให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติ โดยเฉพาะการจัดคอนเสริ์ตที่มีคนร่วมงานกว่า 50,000 คน โดยไร้ซึ่งใส่แมสก์ พร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้าประเทศได้ โดยไม่จำเป็นต้องกักตัว เพียงแค่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเท่านั้น

 

เดนมาร์ก ผู้คนได้รับการยกเว้น ไม่ต้องสวมใส่แมสก์ในทุกที่ ยกเว้นการขนส่งสาธารณะ อีกทั้งประเทศฝรั่งเศสไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน แต่ยังคงมีมาตรการให้สวมในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านต่างๆ เช่น ร้านค้า การขนส่งสาธารณะ และพื้นที่กลางแจ้ง รวมทั้งไอซ์แลนด์ ยกเลิกข้อจำกัดของโรคโควิดทั้งหมด และกำลังฟื้นฟูสังคมที่คุ้นเคยในการอยู่อาศัยให้กลับมา

 

สเปน เป็นอีกประเทศที่ผู้คนได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกสถานที่ได้โดยไม่ต้องสวมแมสก์ ตราบใดที่ยังอยู่ห่างกันเกิน 1.5 เมตร แต่จำเป็นต้องสวมแมสก์เสมอในกรณีที่ไม่มีการเว้นระยะห่างทางสังคมในบางพื้นที่

 

อิตาลี ก็ได้ยกเว้นข้อจำกัดเรื่องหน้ากากอนามัยอย่างเป็นทางการ แต่ยังต้องใช้ความระมัดระวังอย่างรอบคอบ ขณะที่เกาหลีใต้ เฉพาะผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งโดสแล้วเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ถอดแมสก์ออกนอกบ้านได้ โดยจะเริ่มมาตรการนี้ในต้นเดือนกรกฎาคม

 

น่าสังเกตว่า เหล่าประเทศที่หาญท้าทายโควิดสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน โดยให้ประชาชนเลิกสวมใส่แมสก์เมื่อออกจากบ้าน ล้วนมีเงื่อนไขสำคัญอย่างน้อย 2 ปัจจัยคือ หนึ่งฉีดวัคซีนครบโดส เว้นระยะห่าง และเตือนเมื่ออยู่ในสถานที่ชุมชน แออัดควรสวมใส่แมสก์เพื่อป้องกันตัวเองและการระบาดโควิดไปกระทบต่อสังคม

 

 

ดังนั้น มาตรการถอดแมสก์ของต่างประเทศที่ยกมาเป็นบางกรณีดังกล่าว โดยประเทศเหล่านี้เน้นให้ประชาชนปฏิบัติตัวเองอย่างรู้สำนึกเพื่อห่างไกลจากโควิดระบาด อีกอย่างเชื่อได้ว่า ประชาชนต้องการชีวิตปกติกลับคืนมา คงปฏิบัติตัวอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยเช่นเดียวกัน

 

ความน่าสนใจของประเทศที่เลิกสวมใส่แมสก์ดังกล่าว มีหลายประเทศ อย่าง สหรัฐ สเปน อิตาลี เดนมาร์ก อีกทั้งเกาหลีใต้ ล้วนเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เชิญชวนให้มาท่องเที่ยวในไทย แต่ประเทศเหล่านี้เลิกใส่แมสก์ ส่วนไทยในพื้นที่สีฟ้า 17 จังหวัดนำร่องการท่องเที่ยวยังต้องใส่แมสก์ เท่ากับเป็นอุปสรรคขัดขวางการใช้ชีวิตท่องเที่ยวอย่างเป็นปกติสุขและคุ้นเคยของนักท่องเที่ยวที่มาจากประเทศไม่ใส่แมสก์

 

 

ดังนั้น สถานการณ์เช่นนี้ย่อมก่อเกิดความอึดอัดได้ไม่น้อย เมื่ออึดอัดรายได้เศรษฐกิจท่องเที่ยวอาจส่อแนวโน้มไม่พุ่งกระฉุดขึ้นเป็นความหวังให้พลิกฟื้นปากท้องคนทำงานระดับต่ำ กลาง สูง ได้ตามโฆษณาให้เชื่อมั่น

 

อีกอย่าง การโฆษณานั้น มีทีท่าสะท้อนมาตรการผ่อนคลายการป้องกันโควิดระบาดแบบไม่เป็นไปตามภววิสัย เมื่อจำนวนผู้ติดเชื่อในไทยลดน้อยลงต่อเนื่องมาเป็นเดือนๆแล้ว กระทั่งล่าสุดข้อมูลเมื่อ 2 มิถุนายน มีผู้ป่วยเพียง 2,560 คน ขณะที่จำนวนเสียชีวิตก็ลดต่ำลงมาอยู่ที่ 34 ศพ ส่วนการฉีดวัคซีนเข็มสองมีมากกว่า 75 % และเข็มสามก็ฉีดไปแล้ว 40 % แล้วยังประกาศชวนให้ไปฉีดเข็มสี่เป็นเข็มกระตุ้นอีก ดังนั้น การนำร่องเลิกสวมใส่แมสก์ใน 31 จังหวัด จึงเป็นมาตรการสมน้ำสมเนื้อที่จะให้คนไทยได้ใช้ชีวิตปกติตามเดิม

 

การใช้ชีวิตปกติไม่ต้องสวมใส่แมสก์นั้น ชมรมแพทย์ชนบท แนะนำให้รัฐบาลสื่อสารอย่างชัดเจน อีกทั้งคำนึงทั้งการป้องกันโควิดและไม่เกิดความสับสนในด้านกฎหมายด้วย โดยเสนอให้ใช้ถ้อยคำโฆษณาเชิญชวนว่า “31 จังหวัดนี้ ประชาชนยังควรใส่แมสก์เมื่อออกไปในที่ชุมชนเพื่อสุขอนามัยส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้สวมใส่แมสก์ ก็จะไม่มีความผิดตามกฏหมายเหมือนในช่วงโควิด 2 ปีที่ผ่านมา” เช่นนี้จึงเป็นการสื่อสารที่ช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

 

 

การสื่อสารเพื่อความเข้าใจนี้ ย่อมทำให้ 31 จังหวัดนำร่องเลิกใส่แมสก์ แบ่งเป็น 14 จังหวีดพื้นที่เขียวเฝ้าระวัง ประกอบด้วย ชัยนาท พิจิตร อ่างทอง น่าน มหาสารคาม ยโสธร นครพนม ลำปาง อำนาจเจริญ บุรีรัมย์ ตราด สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ อุดรธานี รวมทั้ง 17 จังหวัดพื้นที่สีฟ้านำร่องท่องเที่ยว คือ กทม. กระบี่ กาญจนบุรี จันทบุรี ชลบุรี เชียงใหม่ เชียงราย นครราชสีมา นนทบุรี นราธิวาส ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ พังงา เพชรบุรี ภูเก็ต ระยอง สงขลา

 

พื้นที่นำร่องเหล่านี้ จะได้เกิดความชัดเจนว่า เมื่อออกนอกบ้านไม่สวมใส่แมสก์ก็ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ถูกจับปรับเงิน และเมื่ออยู่ในชุมชน สถานที่แออัด สถานที่ปิด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หรือกิจกรรมที่มีคนร่วมกันจำนวนมาก ยังมีสำนึกต่อสังคมและป้องกันตัวเอง โดยหยิบแมสก์มาคาดปาก ปิดจมูกตามเดิมเป็นการระมัดระวังตามคำเตือนของรัฐบาล

 

เดาทิ้งท้ายว่า เมื่อสถานการณ์ฟื้นเศรษฐกิจ ต้องการนักท่องเที่ยวต่างชาติมาโปรยเงินสร้างรายได้ให้ไทยแล้ว ยังมีโอกาสผลักดัน 31 จังหวัดเป็นพื้นที่นำร่องเลิกสวมใส่แมสก์ให้เกิดขึ้นเป็นจริงได้  โดยเฉพาะการอนุญาตให้ผับ บาร์ ร้านเหล้าเปิดบริการตามปกติเป็นปัจจัยสะท้อนถึงยังมีโอกาสเลิกใส่แมสก์อยู่ไม่น้อย

 

 

แต่รัฐบาลควรสื่อสารให้ชัดเจนว่า ขัดกับกฎหมายหรือไม่ เมื่อไม่ใส่แมสก์ออกจากบ้าน หากความชัดเจนเกิดขึ้น เชื่อว่า ไทยจะได้กลับมาใช้ชีวิตกันอย่างปกติเหมือนประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ต้องสวมใส่แมสก์แล้ว ทั้งๆที่ช่วงโควิดระบาดประเทศเหล่านั้นเจอพิษโควิดหนักหน่วงกว่าไทยหลายเท่าตัว แต่ยังกล้างัดมาตรการเลิกใส่แมสก์เมื่อออกจากบ้านมานำร่องให้เกิดการใช้ชีวิตอย่างปกติ

 


ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:

 

https://www.facebook.com/sammachiv

https://www.facebook.com/chumchonmeedee

https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods

 

Back To Top