เศรษฐกิจท้องถิ่นกับนวัตวิถี
คุณสมหวัง พ่วงบางโพ รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ให้เกียรติมาบรรยายในหลักสูตรผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง รุ่นที่ 9 จัดโดยมูลนิธิสัมมาชีพ ในหัวข้อ “เศรษฐกิจท้องถิ่นกับนวัตวิถี” มีสาระน่าสนใจ ดังนี้
ประเทศไทยทุกวันนี้ ถ้าไม่ยกเครื่องใหม่ประเทศก็ไปไหนไม่ได้ สำหรับกระทรวงมหาดไทยมีกรมหนึ่งคือ กรมพัฒนาชุมชน ที่ทำเรื่องของปากท้องประชาชน ปากท้องเป็นเรื่องของความมั่นคงประการหนึ่ง ถ้าคนที่อยู่ในชุมชน ชนบท มีรายได้มีอาชีพ มีงานทำ ก็ไม่เดือดร้อน ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ก็จะเหนื่อยน้อยลง ถามว่ากรมพัฒนาชุมชนมีสินค้าตัวหลักในการบริการมีอะไรบ้าง ต้องบอกว่ามี 3 ตัว ตามลำดับชั้น เรียก บันไดสามขั้น
อันแรกเรียกการพัฒนาอาชีพครัวเรือน ครัวเรือนแต่ละหลัง ทั่วประเทศ คน 60 กว่าล้านคน 7 หมื่นกว่าหมู่บ้าน ย่อยไปถึงครัวเรือนทั้งประเทศ กรมการพัฒนาชุมชนรับผิดชอบครัวเรือน ทั้งระดับอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ไม่รวมกรุงเทพ แบ่งการปกครองให้ดูแลกันไป
ทำไมต้องพัฒนาอาชีพครัวเรือน เพราะเป็นหน่วยเล็กที่สุดของเศรษฐกิจ แต่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากมีสารพัดหน่วยงาน สารพัดภาคส่วน เราเป็นหนึ่งในการดูแลครัวเรือนเท่านั้น สิ่งที่กรมการพัฒนาชุมชนทำคือสร้างกลไกพัฒนาขับเคลื่อนให้คนมีอาชีพที่สุจริต เขาเรียกสัมมาชีพชุมชน สร้างเครื่องมือขับเคลื่อนให้คนมีอาชีพ มีรายได้ ส่งเสริมการสร้างอาชีพให้ชาวบ้าน
สินค้าของกรมการพัฒนาชุมชนตัวที่สอง การสร้างอาชีพรายบุคคล สินค้าตัวที่สาม เรียกว่า โอทอป หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ สินค้าที่เกิดจากภูมิปัญญามาแปลงเป็นสินค้าจากชุมชน มี 5 ประเภท อาหาร เครื่องดื่ม ผ้า เครื่องแต่งกาย ของใช้ของตกแต่ง ของที่ระลึก และสมุนไพรซึ่งมีคนเกี่ยวข้องทั่วประเทศ ซึ่งจะมีจัดการอีเว้นท์ใหญ่
ส่วนเศรษฐกิจฐานรากแบบประชารัฐเป็นแนวคิดที่รัฐบาลปัจจุบันต้องการขับเคลื่อนประเทศ โดยมองว่าไม่ใช่เฉพาะภาครัฐ เอกชน จะมี ภาควิชาการ ประชาสังคม ทำยังไงถึงจะระดมความรู้พี่น้องทั่วประเทศให้ร่วมมือกันทำ ต้องเชื่อมสมานและไปด้วยกัน มีภาครัฐ เอกชน วิสาหกิจเพื่อสังคมมาร่วมขับเคลื่อน
ตอนนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติเขาพยายามจัดตั้งหน่วยงานเพื่อจะดูแล SME ใหม่ เพื่อดูว่าหน่วยไหนจะดูแล SME นี้อย่างไรให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติมากที่สุด กรมการพัฒนาชุมชนได้เงิน 7 พันล้าน ที่เอามาสร้างผลิตภัณฑ์ 3 ตัว โดยมีคน 7,000 กว่าคนที่อยู่ 878 อำเภอ มีพัฒนากรตำบลอยู่ทุกตำบล มากกว่ากระทรวงพานิชย์ แต่กระทรวงมหาดไทยมีคนอยู่ทุกอำเภอ มีการจัดลำดับขั้นตอน ขั้นแรก ล่างสุด การดำเนินการแบบสัมมาชีพ ลดการพึ่งพา ลดการฟุ่มเฟือย เลิกอบายมุข ซึ่งเป็นงานยาก อาจจะวัดไม่ชัดเจน แต่ทำให้คนเข็มแข็ง ทำได้มากก็ดี ไม่ต้องไปกู้นอกระบบ ไม่ต้องเป็นหนี้
ส่วนวิสาหกิจชุมชนก็เป็นการร่วมทุนร่วมค้า มีกองทุนเป็นจำนวนมาก ไม่ต้องห่วงว่าอยู่บ้านไม่มีเงิน มีกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต 2,000 กว่ากลุ่ม มีโครงการแก้ไขปัญหาความยากจน เงิน 8 พันล้าน เงินกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี กองทุนพัฒนาเด็กชนบท กองทุนหมู่บ้าน 79,000 กองทุน ทั้งหมดเป็นเงินไม่น้อยที่ให้โอกาสผู้คนเล็กๆ กู้ยืม
แต่เมื่อยืมไปแล้ว 90 % โอเค แต่สิ่งที่เกิดคือกู้ง่าย ก็เป็นหนี้ง่าย จัดระเบียบยังไงให้คนมีวินัย อย่างบางคนเป็นหนี้ 4 กองทุน เขาให้รวมกันตัว เป็น 1 กองทุน 1 สัญญา อย่ามากสัญญา ไปตกลงกันเอง สร้างความเข็มแข็ง เพื่อลดหนี้ การสร้างสัมมาชีพ และให้เกิดความรักสามัคคีในชุมชนมีผลไปสู่เรื่องอื่นๆ ด้วย ครัวเรือนมีเป้าหมายการประกอบอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
สำหรับโอทอป ตั้งแต่ปี 2546 เราเน้นสินค้า พอปี 2557 เราเน้นความเป็นชุมชนมากขึ้น ปี 2561 มาเป็นโอทอปนวัตวิถี เน้นเรื่องความสุขของผู้คนมากขึ้น โอทอปแบบเดิมเน้นการพออยู่พอกินตั้งแต่ปี 2546-2557 โตมา 11% แต่ปี 2557 โตแบบก้าวกระโดดมาก
เมื่อก่อนเราขายตามอีเว้นท์ ผู้ประกอบการก็มาลงทะเบียน ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโตมาจากสัมมาชีพ พอโตก็มารวมกลุ่มกันจนเป็นโอทอป ไปลงทะเบียน ก็จะมีโอทอปหลายประเภท มีการให้ดาว เป็นแบบประเภทไหน หนึ่งดาวก็รอการพัฒนา แบ่งลำดับการพัฒนา ห้าดาวก็เป็นสินค้าดี คนส่วนใหญ่อยู่ระหว่างต้องพัฒนา คนส่วนน้อยที่ดึงดูดความั่งคั่งไปได้
ทำยังไงให้เกิดการกระจายให้คนที่รอการพัฒนาได้พัฒนามากขึ้น คิดจากการผลักดันสินค้าโดยรัฐเป็นการกระจายรายได้ คนถามว่าคุณจัดอีเว้นท์บ่อยๆ ชาวบ้านได้อะไร คนในกระบวนการได้อะไร กว่าจะมาขายสินค้า ปรากฎยอดขายต่อเนื่อง แต่รายได้ส่วนใหญ่ ตกกับพวกฝีมือดี ผลิตภัณฑ์ดีไม่ถึง 20% แต่ 80% ต้องพัฒนา แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ทิ้ง เพิ่มช่องทางการตลาด ก็ขายได้ตามอีเว้นท์ อย่าลืมว่าสินค้าเหล่านี้ มีลักษณะเฉพาะตัว ที่เป็นอยู่ในเขตภายในประเทศ เพราะเป็นภูมิปัญญาภายใน ส่งไปต่างประเทศลำบาก
เมื่อรัฐบาลชุดนี้ให้เงินมา 9 พันกว่าล้านเพื่อไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจฐานรากดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ เมื่อก่อนใช้ผลิตภัณฑ์แต่ละตัวเป็นตัวชูโรง แต่เดี๋ยวนี้ใช้ชุมชนเป็นตลาดทำยังไงให้ชุมชนขายได้ จึงสรุปออกมาเป็น ชุมชนโอทอปนวัตวิถี
ส่วนประชารัฐเป็นความพยายามที่จะจับมือกันกับประชาชน รัฐบาลเก่งเรื่องมีคนกระจายเต็มพื้นที่ เอกชนเก่งเรื่องทันสมัย มีเทคโนโลยี ภาควิชาการมีองค์ความรู้ ภาคประชาสังคมทำงานเชิงลึก มีเครือข่าย และภาคประชาชนผลิตสินค้า ร่วมมือกันสานพลัง มาทำสามเรื่อง คืออะไร คือท่องเที่ยว แปรรูปและการเกษตร
ส่วนกระบวนการก็ทำให้เข้าถึงปัจจัยการผลิต สร้างโอกาส ความรู้ การตลาด สื่อสารเพื่อรับรู้ บริหารจัดการเพื่อความยั่งยืน ตอนนี้กิจการเริ่มดี มีคนได้รับประโยชน์ หาวิธีการ รอกฎหมายอะไรปรับปรุงต่อไป