เป้าธันวาเริ่มชีวิตแนวใหม่อยู่ร่วมโควิด
เป้าธันวาเริ่มชีวิตแนวใหม่อยู่ร่วมโควิด
คำสั่งคลายล็อคของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 28 ส.ค. แล้ว โดยบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ก.ย.นี้เป็นต้นไป แม้ไม่เต็มรูปแบบและมาตรการเคอร์ฟิวยังมีตามเดิมช่วง 21.00 น – 04.00 น. แต่เท่ากับเป็นการทดลองใช้ชีวิตแนวใหม่ในช่วง 1 เดือนเพื่อประเมินผลการระบาดแพร่เชื้อโควิดอีกครั้งในพื้นที่สีแดงเข็ม 29 จังหวัด
สิ่งสำคัญการคลายล็อกนั้น เน้นไปที่การเปิดห้างสรรพสินค้าตามปกติแต่จำกัดกิจกรรมบางอย่างไว้ ส่วนร้านอาหารเปิดให้นั่งในร้านได้ 50% เฉพาะร้านมีแอร์ แต่ไม่มีแอร์นั่งทานได้ 75% และการเดินทางสาธารณะข้ามจังหวัดจำกัดผู้โดยสารแค่ 75% เท่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้น ศบค.ยังกำหนดมาตรการเสริม COVID Free Setting มาเป็นกลยุทธ์การควบคุมโรคแนวใหม่เพื่อให้ประชาชนปลอดภัย ถึงที่สุดมุ่งหวังให้เป็นการใช้ชีวิตแนวใหม่ที่อยู่ร่วมกับโควิดให้ได้ธ.ค.นี้ แต่นั่นหมายความว่า ก.ย. อีกทั้ง ต.ต. และ พ.ย. การระบาดโควิดขยับลดลงในระดับปานกลางไปถึงดี
นำร่องชีวิตแนวใหม่ปลอดภัยโควิด
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบายถึงเป้าหมาย กลยุทธ์ และมาตรการการควบคุมโรคแนวใหม่ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศให้ประชาชนใช้ชีวิตปลอดภัย พร้อมทั้งเชื่อว่าอนาคตจะมีวิธีรับมือและใช้ชีวิตกับโรคโควิดได้อย่างปลอดภัย ซึ่งมีเป้าหมาย คือ ลดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิดให้น้อยที่สุด โดยไม่กระทบการใช้ชีวิตของประชาชน
ทั้งนี้ สถานการณ์ติดเชื้อขณะนี้ไทยมีแนวโน้มพบผู้ป่วยเริ่มชะลอตัวลง บ่งชี้ว่าน่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ระดับหนึ่ง อีกอย่างใน ส.ค.การระบาดค่อนข้างรุนแรง แต่กระทรวงสาธารณสุขพยายามทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นใน ก.ย.นี้ และลดมาอยู่ในสถานการณ์ปานกลางในช่วง ต.ค. และเมื่อ พ.ย.ดีขึ้น แล้ว ธ.ค.น่าจะใช้ชีวิตแนวใหม่ได้อย่างปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในอนาคต แม้เป็นสิ่งจำป็น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาหรือชะลอการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะต้องร่วมมาตรการอื่นด้วย คือ 1.มาตรการป้องกันส่วนบุคคลขั้นสูงสุดตลอดเวลา (Universal Prevention) เพื่อลดความเสี่ยงจากคนรอบข้าง จึงใส่หน้ากากเสมอเมื่ออยู่กับคนอื่น หลีกเลี่ยงการเปิดหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่น ลดการออกจากบ้านโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ไม่ไปสถานที่แออัด เว้นระยะห่าง ล้างมือ ทำความสะอาดพื้นผิว รวมทั้งควรประเมินอาการตนเองเสมอ และตรวจ ATK ให้รู้ว่าติดเชื้อหรือไม่ในช่วงที่ผ่านมา
2.การคัดกรองด้วยวิธีต่างๆ โดยเฉพาะการตรวจหาเชื้ออย่างง่ายด้วย ATK และ 3.มาตรการองค์กร เพราะเวลาเกิดระบาดแล้วมีจำนวนติดเชื้อมากๆ ส่วนใหญ่เกิดในองค์กร เช่น โรงงาน แคมป์คนงานที่แออัด สถานที่ทำงาน ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริษัท ห้างร้าน โรงงาน ต้องมีมาตรการที่จะร่วมกันดำเนินการ
นพ.โอภาส มั่นใจว่า ถ้าสามารถดำเนินมาตรการต่างๆ ทั้งฉีดวัคซีน ป้องกันส่วนบุคคล ตรวจคัดกรอง และสถานที่ทำงานได้ จะสามารถเปิดกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง เป็นเป้าหมายยุทธศาสตร์การควบคุมโรคที่เสนอ ศบค. และ ศบค.เห็นชอบในหลักการ
ภูมิคุ้มกันหมู่ผันแปรตามเชื้อกลายพันธุ์
สำหรับการฉีดวัคซีนไปถึงระดับสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ 70% นั้น นพ.โอภาส กล่าวว่า ภูมิคุ้มกันหมู่กี่เปอร์เซ็นต์ขึ้นกับหลายปัจจัย คือ เชื้อโรคกระจายเร็วแค่ไหน แต่ละตัวมีวัคซีนที่ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่แตกต่างกัน แม้เชื้อเดียวกัน เช่น โควิดมีการกลายพันธุ์ตลอดเวลา ช่วงแรกสายพันธุ์ดั้งเดิมแพร่ไม่รวดเร็ว พอเป็นเดลตาแพร่กระจายเชื้อสูงมากขึ้น
ดังนั้นการคิดเรื่องภูมิคุ้มหมู่จึงปรับเปลี่ยนไปตามเชื้อกลายพันธุ์ และยังขึ้นกับพื้นที่นั้นๆ ว่าแพร่ระบาดมากน้อยแค่ไหน หรือความสามารถระบาดของโรคมากน้อยแค่ไหน ต้องเอามาประกอบกัน ค่าผันแปรจึงขึ้นกับแต่ละที่ แต่ละเวลา รวมถึงจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศจากเชื้อไวรัสตามธรรมชาติ
“เดิมเราวางแผนฉีดวัคซีนอย่างน้อย 70% คิดเป็นตัวเลข 50 ล้านคน ทั้งประชาชนคนไทย และผู้ที่อาศัยในแผ่นดินไทย ตามนโบยายรัฐบาลถ้าต้องการฉีดก็จะจัดหามาฉีดตามความสมัครใจ ซึ่งตัวเลขสิ้น ธ.ค.แผนจัดหาได้ประมาณ 140 ล้านโดส ถ้าดูตามตัวเลขนี้ก็คงฉีดให้ทุกคนในแผ่นดินไทยได้ ตอนนี้เชื่อว่าถ้าทุกคนต้องการฉีด เราฉีดเกิน 70% แน่นอน ส่วนตัวเลขเป้าหมายจะปรับอย่างไร ให้คณะผู้เชี่ยวชาญพิจารณา” นพ.โอภาสกล่าว
กลยุทธ์ COVID Free Setting
มาตรการ COVID Free Setting เพื่อรับมือการแพร่ระบาดของโควิดเริ่ม 1 ก.ย.นี้ไปพร้อมกับการคลายล็อกในพื้นที่สีแดง 29 จังหวัดมี 2 ส่วน คือ 1.ส่วนบุคคล และ 2. มาตรการองค์กร โดยบางมาตรการเป็นเชิงบังคับ เช่น เคอร์ฟิว การจำกัดคนมาทำกิจกรรมร่วมกัน และบางมาตรการเป็นการขอความร่วมมือ
นพ.โอภาส ยืนยันว่า ทุกมาตรการต้องอาศัยความร่วมมือ อนาคตถ้าจะอยู่ร่วมกับโควิดความร่วมมือสำคัญมาก ทุกมาตรการที่ออกไป ต้องพยายามทำให้ประชาชนรับผลกระทบน้อยสุด จึงเสนอมาตรการเปิดกิจกรรมที่มีความเสี่ยง ทั้งนี้ ถ้าจะควบคุมโรคให้เป็น 0 (ศูนย์) ทุกคนก็ต้องอยู่กับที่ ไม่ไปไหนเลยเป็นเวลานาน กระทบกระเทือนการใช้ชีวิตมาก
เมื่อเปิดกิจกรรมเสี่ยงก็ต้องหาวิธีลดความเสี่ยง มี 2-3 เรื่อง คือ 1.ฉีดวัคซีนคนที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมเสี่ยงนั้นๆ 2.ตรวจหาเชื้อเป็นระยะ ที่ง่ายสะดวกทำได้เอง เช่น ATK ซึ่งหลายประเทศในยุโรปดำเนินการแล้ว และ 3.มาตรการส่วนบุคคล หลายมาตรการประชาชนดำเนินการได้ดี โดยเฉพาะการใส่หน้ากาก ส่วนฉีดวัคซีนเรามีเป้าหมายการฉีด ส่วนมาตรการใหม่อย่างตรวจด้วย ATK จำเป็นอาศัยความร่วมมือประชาชนและปริมาณการตรวจที่ต้องมากพอ ถ้ามาตรการนี้เป็นเชิงบังคับทันที คงไม่สามารถทำได้ และเกิดไม่สะดวกกับประชาชน
เป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุขคือ ช่วง ก.ย.เป็นมาตการเชิงให้คำแนะนำ ขอความร่วมมือมากกว่า หลังจากคุ้นชินแล้ว ยอมรับได้ ทำได้ ฉีดวัคซีน และตรวจ ATK มากพอ ช่วงต้น ต.ค.อาจจะเป็นจุดมาตรฐานที่ทุกหน่วยงานทำและประชาชนร่วมมือก็จะยั่งยืนดำเนินการต่อไป โดยมาตรการที่ออกไปใน ก.ย.เป็นการขอความร่วมมือ และมีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน เช่น สมาคมภัตตาคารไทย สมาคมศูนย์การค้าที่มีการหารือร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข
“มาตรการที่ออกมาเป็นความร่วมมือ 2 ฝ่าย แม้เราไม่ได้บังคับ แต่สมาคมผู้เกี่ยวข้องยืนยันจะปฏิบัติตามมาตรการนี้ แต่ช่วงปฏิบัติอาจมีความขลุกขลัก ก็ปรับตัวตามสถานการณ์ หลัง ต.ค.ที่ทุกอย่างพร้อมทำให้เป็นมาตรฐานใช้ชีวิตใหม่ของเราทุกคน” นพ.โอภาสกล่าว
ดังนั้น มาตรการ COVID Free Setting ย่อมเป็นบททดสอบครั้งสำคัญในการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ที่กำหนดเป้าไว้ใน ธ.ค. เป็นการลดการระบาดโควิดเพื่อจะอยู่ร่วมกับโควิดอย่างปลอดภัย ด้วยมาตรการเริ่มต้นด้วยตัวประชาชน โดยมีปัจจัยฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม มั่นตรวจ ATK หาเชื้อ ซึ่งจะนำพาให้ชีวิตปกติกลับมาอีกครั้งในอนาคต
ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:
https://www.facebook.com/sammachiv
https://www.facebook.com/chumchonmeedee</a
https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods