skip to Main Content
02-530-9204 sammachiv.pr@gmail.com
ปลดล็อกพืชกระท่อม วิสาหกิจชุมชนภาคใต้คึกคัก

ปลดล็อกพืชกระท่อม วิสาหกิจชุมชนภาคใต้คึกคัก

ปลดล็อกพืชกระท่อม

วิสาหกิจชุมชนภาคใต้คึกคัก

 

“พืชกระท่อม” ได้รับการปลดล็อกออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2564 ไปแล้วเมื่อวันที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนสามารถปลูกไว้เพื่อครอบครอง ซื้อขาย และบริโภคได้โดยไม่ผิดกฎหมายอีกต่อไป

แม้กฎหมายเปิดเสรีก็ตาม แต่ยังมีการห้ามบางอย่างไว้ โดยระบุว่า ถ้านำไปทำเป็นโปรดักต์สมุนไพรต้องดำเนินการภายใต้ พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 อีกทั้งห้ามขายในลักษณะแปรรูปเป็นน้ำต้ม​, ใบกระท่อมซุปแป้งทอด หรือเป็นอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ เพราะ​ผิด​ พ.ร.บ.อาหาร​ พ.ศ. 2522 รวมถึงไม่อนุญาตให้นำพืชกระท่อมไปต้มเป็นน้ำ แล้วผสมกับสารเสพติดชนิดอื่นที่เรียกว่า 4×100 (สี่คูณร้อย) ซึ่งยังผิดกฎหมายอยู่

ดาบสองคมมีทั้งคุณและโทษ

ในวันนี้ กระท่อมมีจำหน่ายทั่วไปตามท้องตลาด ประชาชนเข้าถึงได้จาก marketplace ทางออนไลน์จนสร้างรายได้ให้กับผู้จำหน่ายเป็นกอบเป็นกำ แต่พืชกระท่อมยังมีคุณสมบัติเปรียบได้กับดาบสองคม คือมีทั้งคุณและโทษ เพราะกระท่อมเป็นยา ไม่ใช่อาหาร

รศ.ดร.อรุณพร อิฐรัตน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เจ้าของรางวัล “เสม อวอร์ด 2562” ประเภทการวิจัยและส่งเสริมการใช้สมุนไพรในชุมชน บอกว่า หากบริโภคเกินขนาดก็จะมีผลข้างเคียงและทำให้ติดได้ เนื่องจากมีสารมิตรากัยนิน (Mitragynine) เป็นสารจำพวกแอลคาลอยด์ที่มีคุณสมบัติเป็นโทษต่อร่างกายทำให้เกิดอาการหลอน เคลิ้มฝัน มึนงง เหงื่อออก ทนต่อความหนาวไม่ได้ และนอนไม่หลับ หรือถ้าหลับก็จะฝันแบบที่ไม่ควรฝัน

ตามภูมิปัญญาไทย ชาวบ้านจะเคี้ยวใบกระท่อมร่วมกับ “ใบชุมเห็ดเทศ” เพราะกระท่อมจะทำให้เกิดอาการท้องผูก ฉะนั้นจึงต้องใช้ใบชุมเห็ดเทศที่มีสรรพคุณเป็นยาถ่ายสำหรับแก้พิษจากกระท่อมที่ทำให้ท้องผูก ส่วนการต้มนั้นสามารถทำเป็นชาได้โดยบีบมะนาวลงไป ซึ่งความเป็นกรดของมะนาวจะทำให้แอลคาลอยด์กลายเป็นเกลือและสามารถละลายน้ำได้ และออกฤทธิ์คล้ายกัน คือเมื่อทานเข้าไปจะทำให้รู้สึกมีพลัง ทำงานได้ทน ไม่เหนื่อย และทนแดดได้ แต่จะทนฝนไม่ได้ จะเป็นคนขี้หนาว

การรับประทานกระท่อมที่ถูกต้องไม่ควรรับประทานเกินวันละ 5 ใบ รูดก้านใบออกเพื่อเอาแต่ใบล้วนๆ แล้วเคี้ยวเหมือนการเคี้ยวหมาก เพราะน้ำลายมีความเป็นด่าง ไปสกัดเอาอัลคาลอยด์ Mitragynine ออกมา เรารับประทาน ไม่ควรกลืนกาก เพราะอาจจะทำให้เกิด “ถุงท่อม” ที่มีลักษณะเป็นก้อนแข็งอยู่ในท้องซึ่งจะทำให้ปวดท้องได้

อย่างไรก็ตาม ถ้าใช้มากเกิน 10-25 กรัม จะทำให้มีเหงื่อออก มึนงง เคลิ้มฝัน หลอน ตรงนี้คือสิ่งสำคัญ การใช้กระท่อมควรจะมีขนาดที่พอดี และควรจะใช้เป็นยามากกว่า จึงกังวลว่าหลังจากที่ถูกกฎหมายแล้วคนจะเอามาใช้ผิดวิธี

ขณะเดียวกันไม่ใช่ทุกคนที่จะรับประทานกระท่อมได้ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคหัวใจ เพราะฤทธิ์ของกระท่อมจะทำให้ไม่เหนื่อย ซึ่งคนเป็นโรคหัวใจอาจจะไม่รู้ตัวว่าเหนื่อย และอาจจะทำให้ช็อกได้ เช่นเดียวกันกับคนเป็นโรคทางจิตประสาทที่ต้องใช้ยา เนื่องจากกระท่อมส่งผลถึงสมอง

รศ.ดร.อรุณพร บอกว่า ในทางการแพทย์กระท่อมมีประโยชน์และข้อดีอยู่มาก กระท่อมสามารถใช้แทน “มอร์ฟีน” ลดอาการปวดได้ และมีการจดสิทธิบัตรแล้วในประเทศญี่ปุ่น และอาการติดกระท่อมน้อยกว่าการติดมอร์ฟีน  ดังนั้นเขาจึงใช้รักษาอาการลงแดง เพื่อทดแทนในผู้ป่วยที่ติดยาเสพติดประเภทเฮโรอีน มอร์ฟีน ดังนั้นกระท่อมควรนำมาใช้ทางการแพทย์ ในการลดการอาการปวดที่รุนแรง

 

 

ภาคใต้ตื่นตัว โค่นยางปลูกกระท่อม

กระท่อมเป็นพืชประจำถิ่นในภาคใต้ หลังการปลดล็อกแล้ว สถานการณ์การปลูกขณะนี้มีความตื่นตัวอย่างยิ่ง เพราะกระท่อมจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่มาสร้างรายได้สมทบกับปลูกยางพารา ประกอบโรงงานกว้านหาพื้นที่ปลูกเพื่อป้อนโรงงาน โดยตั้งราคาให้ระยะยาวนานถึง 5 ปี

นายมีเกียรติ อ้นทอง ประธานสมาคมผู้ปลูกพืชทางเลือกใหม่เพื่อการเรียนรู้และการค้าไทย บอกว่า จ.นครศรีธรรมราช มีโรงงานผลิตกระท่อมเพื่อสุขภาพหลายโรงงานติดต่อเข้ามาเพื่อหาพื้นที่ปลูกกระท่อม รวมทั้งส่งใบเข้าโรงงานผลิตอาหารเพื่ออุตสาหกรรม โดยทางโรงงานเซ็นสัญญารับซื้อใบภายใน 5 ปี เพื่อนำไปผลิตเป็นอาหารเพื่อสุขภาพหลายชนิด

แม้ว่าอนาคตจะมีการปลูกพืชกระท่อมมากขึ้น แต่พันธุ์ที่ต้องการคือ พันธุ์ก้านแดง โดยตั้งเป้าหมายที่ 1,000,000 ต้น ภายใต้โครงการพัฒนากระท่อมสู่อาหารโลก ซึ่งมีการทำสัญญาความร่วมมือกับ 5 โรงงานในประเทศ และ 2 โรงงานในต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว

สำหรับการปลูกพืชกระท่อมนั้น ที่ดิน 1 ไร่ ปลูกได้ 100 ต้น ใช้เงินซื้อต้นกล้า 15,000 บาท (กล้าต้นละ 150-200 บาท) ใช้ระยะเวลาปลูก 1 ปี จากการคำนวณแล้ว พื้นที่ 1 ไร่ได้ผลผลิตประมาณ 200 กิโลกรัม/เดือน ราคาขายโดยประมาณอยู่ที่กิโลกรัมละ 200 บาท คิดง่ายๆ 1 เดือน มีรายได้ 40,000 บาท

ส่วนนายสงคราม บัวทอง กำนันตำบลนํ้าพุ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี ระบุถึงแผนการณ์ใหญ่ของบ้านนาสารที่เตรียมงบ 20 ล้านตั้งโรงงานสกัดพืชกระท่อมแห่งแรกของประเทศ พร้อมวางแผนจัดซื้อจากวิสาหกิจชุมชน เกิดความตื่นตัวอย่างกว้างขวางในการปลูกกระท่อม จนทำให้ต้นกล้าขาดตลาดดันราคาพุ่งจาก 100 บาทไปถึงต้นละ 300 บาท แต่ยังไม่มีของขายและหาซื้อยาก

อีกทั้งเกษตรกรบางรายโค่นสวนยางพาราประมาณ 10 ไร่เพื่อมาปลูกกระท่อมแทน เพราะเชื่อว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจในอนาคต โดยเฉพาะหากมีการส่งออกได้ พืชกระท่อมก็เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตเนื่องจากราคาจำหน่ายใบกระท่อมในพื้นที่ในขณะนี้ พบว่ามีคนเข้ามากว้านซื้อให้ราคาถึงกิโลกรัมละ 300-400 บาท

 

ตลาดต่างประเทศคึกคัก

ตลาดพืชกระท่อมต่างประเทศกำลังเป็นที่นิยม ในสหรัฐอเมริกามีขายกันเป็นล่ำเป็นสัน และเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ใช้เพื่อช่วยรักษาโรคซึมเศร้า, บำบัดยาเสพติด, เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ซึ่งรูปแบบของโปรดักต์มีทั้งแบบเป็นผง, แคปซูล, อาหารเสริม, ยาดม, ชา ทั้งยังมีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกอีกด้วย

ขณะที่ “อินโดนีเซีย” ถือเป็นประเทศที่มีการส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยประมาณการว่า 95% ของการผลิตกระท่อมที่ใช้ในทั่วโลกมาจากอินโดนีเซีย ดังนั้นเมื่อไทยเปิดเสรีพืชกระท่อมแล้ว จึงดูเหมือนว่าจะมีโอกาสขยับรุกส่วนแบ่งที่เหลืออีกแค่ 5% จากอินโดนีเซียเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การปลดล็อกกระท่อมคือการเริ่มต้นขยายตลาดใหม่ โดยบริษัทเอกชนเดินหน้าวางแผนลงทุนสอดรับกฎหมายกันอย่างทันท่วงที โดยบริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ที่ทำสัญญาซื้อใบกระท่อมจากเกษตรกรในภาคใต้ไว้เรียบร้อยแล้ว และกำลังเตรียมส่งออกผลิตภัณฑ์พืชกระท่อมจำนวน 150 ตัน ไปสหรัฐฯ ภายในเดือน ธ.ค. 2564 นี้

อีกทั้ง บริษัท เค.ดับบลิว.เม็ททัล เวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ KWM ก็เตรียมนำพืชกระท่อมมาสกัดสารสำคัญ เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์ ยา อาหารและเครื่องดื่ม และคาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนของโปรดักต์ในปี 2565 รวมถึง บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD ก็สนใจและมีแผนที่จะนำพืชกระท่อมมาพัฒนาต่อยอดในรูปของแบบของอาหารเสริม ก่อนส่งออกตีตลาดต่างประเทศ

 

 

ดังนั้นพืชกระท่อมไทย มีแววที่จะมีอนาคตสดใส และกลายเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ได้ไม่ยาก แต่ถึงอย่างนั้น ยังมีอีกหลายประเด็นให้น่าขบคิด และชวนให้ตั้งคำถามว่า เส้นทางการผลักดันกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจอย่างแท้จริง จะสวยงามดั่งโรยด้วยกลีบกุหลาบจริงหรือ? เมื่อตลาดต่างระเทศเหลือส่วนแบ่งแค่ 5% เท่านั้น

 

 


ติดตามข้อมูลข่าวสารของมูลนิธิสัมมาชีพเพิ่มเติมได้ที่:

https://www.facebook.com/sammachiv

https://www.facebook.com/chumchonmeedee</a

https://www.youtube.com/user/RightLivelihoods

Back To Top